โครงสร้าง บทบาทหน้าที่ และสัมพันธภาพ ของครอบครัวไทย
1.
โครงสร้างครอบครัว
ครอบครัวจะมีการแบ่งบทบาท อำนาจหน้าที่ ค่านิยม และมีการสื่อสารสัมพันธภาพค่อนข้างเฉพาะ จากการศึกษาของ รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) อ้างถึงใน Freidman (1986) และ McIntrue (1981) ได้แบ่งโครงสร้างครอบครัวเป็น 6 ด้านดังนี้
1.1 ระบบย่อยในครอบครัว ได้แก่การแบ่งกลุ่ม สมาชิกในครอบครัวเป็นกลุ่มย่อย ๆตามลักษณะความสัมพันธ์ เช่น ระบบย่อยสามีภรรยา ระบบบ่อยมารดาและบุตร หรือ ระบบย่อยพี่น้อง
1.2 โครงสร้างบทบาทของสมาชิก ทำให้ทราบการแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างไร มีความชัดเจนหรือเหมาะสมเพียงใด
1.3 โครงสร้างด้านอำนาจ ทำให้สามารถเข้าใจแนวทางการตัดสินใจว่ามีผู้นำหรือมีการร่วมตัดสินใจในครอบครัวอย่างไร
1.4 โครงสร้างด้านการสื่อสารและสัมพันธภาพในครอบครัว แสดงถึงความสามารถในการแสดงความต้องการ การแสดงออกของสมาชิกในแต่ละคนในการสื่อสารกับผู้อื่นในครอบครัวในการรับรู้ถึงความรู้สึก
1.5 โครงสร้างด้านค่านิยม แสดงถึงค่านิยมเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลตนเองของครอบครัวในภาวะสุขภาพปกติและเมื่อยามเจ็บป่วย
2. บทบาทหน้าที่ของครอบครัว
ในด้านบทบาทหน้าที่นั้น ครอบครัวจะต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน จากการศึกษาของรุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) อ้างถึงใน Freidman (1986) และ McIntrue (1981) ได้แบ่งหน้าที่ของครอบครัว ดังต่อไปนี้
2.1 หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของสมาชิกทางชีวภาพ ในการจัดหาสิ่งของที่จำเป็นต้อการดำรงชีวิต รวมทั้งการดูแลสุขภาพและการบริการสุขภาพที่จำเป็น
2.2 หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์ โดยการให้ความรัก ความเอาใจใส่แก่สมาชิกในครอบครัว ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีบุคลิกภาพมั่นคง
2.3 หน้าที่ในการเลี้ยงดูอบรมสมาชิกให้สามารถเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคม เป็นพลเมืองที่ดี โดยอบรมสั่งสอน ให้คำแนะนำ ดูความประพฤติของสมาชิก
2.4 หน้าที่ในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจและสถานภาพสังคม โดยการเตรียมสมาชิกที่มีวัยสมควรเข้าสังคม สนับสนุนให้มีเกียรติ เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี ประกอบอาชีพสุจริตและออมทรัพย์เพื่อให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคง และมีเงินสำรองไว้ใช้สอยยามจำเป็น
2.5 หน้าที่ในการสืบเชื้อสายหรือการผลิตสมาชิกใหม่เป็นผู้สืบกุลอย่างต่อเนื่อง โดยการแต่งงานมีบุตรหรือรับบุตรบุญธรรม
3. สัมพันธภาพของครอบครัว
เมื่อพิจารณาถึงสัมพันธภาพในครอบครัวนั้น สังคมไทยนับได้ว่ามีครอบครัวที่อบอุ่นและส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นครอบครัวขยาย และมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวที่ดี หากแต่ในปัจจุบันพบว่า ครอบครัวไทยมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป
อุมาภรณ์ ภัทรวาณิย์ และ ภูวไนย พุ่มไทรทอง (2552) ได้ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพในครอบครัว ได้แก่ เพศ อายุ และสถานภาพสมรส และในครอบครัวที่มีผู้หย่า เป็นหม้าย หรือแยกกันอยู่ มีโอกาสที่สัมพันธภาพในครอบครัวจะต่ำกว่าครอบครัวที่กำลังอยู่ในภาวะสมรส ผู้ที่มีฐานะครอบครัวดีมักมีความสัมพันธ์ในครอบครัวสูง การมีการศึกษาเพิ่มขึ้นจะมีสัมพันธภาพในครอบครัวมากขึ้น ในกลุ่มวัยรุ่นพบว่า ความเป็นเมืองส่งผลต่อสัมพันธภาพที่ลดลง ส่วนภาคที่อยู่อาศัยมีผลต่อสัมพันธภาพในครอบครัวซึ่งภาคใต้มีแนวโน้มจะมีสัมพันธภาพในครอบครัวดีกว่าภาคอื่น ๆ ชาย โพธิสิตา (2552) ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวไทยในปัจจุบันที่มีรูปแบบการอยู่อาศัยมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ครอบครัวหรือครัวเรือนที่มีสมาชิกเพียงคนเดียว (one-person households) ครอบครัวที่อยู่กันหลายคนแต่ทั้งหมดไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติติดต่อกัน (primary individual households) หรือครอบครัวข้ามรุ่น (skipped-generation households) ที่มีเฉพาะรุ่นปู่ย่า/ตายายกับรุ่นหลานในวัยเด็ก ส่วนรุ่นพ่อแม่(พ่อแม่ของหลาน) ย้ายถิ่นไปทำงานอยู่ที่อื่นแทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีครอบครัวที่มีแต่หัวหน้ากับคู่สมรสซึ่งโดยมากแล้วเป็นครัวเรือนที่มีคู่สมรสอยู่กันตามลำพัง ไม่มีบุตรหลานวัยแรงงานอยู่ด้วย และปัจจุบันยังมีครอบครัวของผู้ขาดโอกาสทางสังคม ครอบครัวคนชายชอบ และครอบครัวข้ามพรมแดน ที่ครอบครัวของแรงงานจากต่างประเทศที่อพยพเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และครอบครัวหรือครัวเรือนโลกาภิวัฒน์ เช่นการแต่งงานของหญิงไทยกับคู่สมรสชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรปและอเมริกาเป็นต้น เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวแบบไร้พรมแดน ของเงินทุน คน เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสาร
จากการศึกษาของ อมรา สุนทรธาดา และ สุพัตรา เลิศชัยเพชร (2552) ได้นำเสนอประเด็นของครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในระดับบุคคลและสังคม โดยเฉพาะเมื่อ 30 ปี หญิงไทยมีบุตรเฉลี่ย 6 คน แต่จากการคาดประมาณประชากร ปี 2552 พบว่าหญิงไทยมีบุตรเฉลี่ย 1.5 คน และการอยู่อาศัยที่มีครอบครัวมากกว่าคน 2 รุ่นที่มีกิจกรรมต่าง ๆร่วมกัน ในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การอบรมเลี้ยงดู การปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม กลับกลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่เลี้ยงเดียว ครอบครัวเพศเดียวกัน ครอบคัวบุตรบุญธรรม ครอบครัวผู้สูงอายุ ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุและเด็ก เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นตัวกำหนด และสรุปว่าแนวคิดและวิเคราะห์เพื่ออนุมานว่า การลดลงของครอบครัวช่วงสามวัยจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว ความมั่นคง ความคุ้มครองทางสังคมสำหรับเยาวชนและผู้สูงอายุ
ครอบครัวจะมีการแบ่งบทบาท อำนาจหน้าที่ ค่านิยม และมีการสื่อสารสัมพันธภาพค่อนข้างเฉพาะ จากการศึกษาของ รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) อ้างถึงใน Freidman (1986) และ McIntrue (1981) ได้แบ่งโครงสร้างครอบครัวเป็น 6 ด้านดังนี้
1.1 ระบบย่อยในครอบครัว ได้แก่การแบ่งกลุ่ม สมาชิกในครอบครัวเป็นกลุ่มย่อย ๆตามลักษณะความสัมพันธ์ เช่น ระบบย่อยสามีภรรยา ระบบบ่อยมารดาและบุตร หรือ ระบบย่อยพี่น้อง
1.2 โครงสร้างบทบาทของสมาชิก ทำให้ทราบการแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวเป็นอย่างไร มีความชัดเจนหรือเหมาะสมเพียงใด
1.3 โครงสร้างด้านอำนาจ ทำให้สามารถเข้าใจแนวทางการตัดสินใจว่ามีผู้นำหรือมีการร่วมตัดสินใจในครอบครัวอย่างไร
1.4 โครงสร้างด้านการสื่อสารและสัมพันธภาพในครอบครัว แสดงถึงความสามารถในการแสดงความต้องการ การแสดงออกของสมาชิกในแต่ละคนในการสื่อสารกับผู้อื่นในครอบครัวในการรับรู้ถึงความรู้สึก
1.5 โครงสร้างด้านค่านิยม แสดงถึงค่านิยมเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลตนเองของครอบครัวในภาวะสุขภาพปกติและเมื่อยามเจ็บป่วย
2. บทบาทหน้าที่ของครอบครัว
ในด้านบทบาทหน้าที่นั้น ครอบครัวจะต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน จากการศึกษาของรุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) อ้างถึงใน Freidman (1986) และ McIntrue (1981) ได้แบ่งหน้าที่ของครอบครัว ดังต่อไปนี้
2.1 หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของสมาชิกทางชีวภาพ ในการจัดหาสิ่งของที่จำเป็นต้อการดำรงชีวิต รวมทั้งการดูแลสุขภาพและการบริการสุขภาพที่จำเป็น
2.2 หน้าที่ในการตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์ โดยการให้ความรัก ความเอาใจใส่แก่สมาชิกในครอบครัว ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีบุคลิกภาพมั่นคง
2.3 หน้าที่ในการเลี้ยงดูอบรมสมาชิกให้สามารถเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคม เป็นพลเมืองที่ดี โดยอบรมสั่งสอน ให้คำแนะนำ ดูความประพฤติของสมาชิก
2.4 หน้าที่ในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจและสถานภาพสังคม โดยการเตรียมสมาชิกที่มีวัยสมควรเข้าสังคม สนับสนุนให้มีเกียรติ เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี ประกอบอาชีพสุจริตและออมทรัพย์เพื่อให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคง และมีเงินสำรองไว้ใช้สอยยามจำเป็น
2.5 หน้าที่ในการสืบเชื้อสายหรือการผลิตสมาชิกใหม่เป็นผู้สืบกุลอย่างต่อเนื่อง โดยการแต่งงานมีบุตรหรือรับบุตรบุญธรรม
3. สัมพันธภาพของครอบครัว
เมื่อพิจารณาถึงสัมพันธภาพในครอบครัวนั้น สังคมไทยนับได้ว่ามีครอบครัวที่อบอุ่นและส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นครอบครัวขยาย และมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวที่ดี หากแต่ในปัจจุบันพบว่า ครอบครัวไทยมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป
อุมาภรณ์ ภัทรวาณิย์ และ ภูวไนย พุ่มไทรทอง (2552) ได้ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพในครอบครัว ได้แก่ เพศ อายุ และสถานภาพสมรส และในครอบครัวที่มีผู้หย่า เป็นหม้าย หรือแยกกันอยู่ มีโอกาสที่สัมพันธภาพในครอบครัวจะต่ำกว่าครอบครัวที่กำลังอยู่ในภาวะสมรส ผู้ที่มีฐานะครอบครัวดีมักมีความสัมพันธ์ในครอบครัวสูง การมีการศึกษาเพิ่มขึ้นจะมีสัมพันธภาพในครอบครัวมากขึ้น ในกลุ่มวัยรุ่นพบว่า ความเป็นเมืองส่งผลต่อสัมพันธภาพที่ลดลง ส่วนภาคที่อยู่อาศัยมีผลต่อสัมพันธภาพในครอบครัวซึ่งภาคใต้มีแนวโน้มจะมีสัมพันธภาพในครอบครัวดีกว่าภาคอื่น ๆ ชาย โพธิสิตา (2552) ได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวไทยในปัจจุบันที่มีรูปแบบการอยู่อาศัยมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ครอบครัวหรือครัวเรือนที่มีสมาชิกเพียงคนเดียว (one-person households) ครอบครัวที่อยู่กันหลายคนแต่ทั้งหมดไม่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติติดต่อกัน (primary individual households) หรือครอบครัวข้ามรุ่น (skipped-generation households) ที่มีเฉพาะรุ่นปู่ย่า/ตายายกับรุ่นหลานในวัยเด็ก ส่วนรุ่นพ่อแม่(พ่อแม่ของหลาน) ย้ายถิ่นไปทำงานอยู่ที่อื่นแทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีครอบครัวที่มีแต่หัวหน้ากับคู่สมรสซึ่งโดยมากแล้วเป็นครัวเรือนที่มีคู่สมรสอยู่กันตามลำพัง ไม่มีบุตรหลานวัยแรงงานอยู่ด้วย และปัจจุบันยังมีครอบครัวของผู้ขาดโอกาสทางสังคม ครอบครัวคนชายชอบ และครอบครัวข้ามพรมแดน ที่ครอบครัวของแรงงานจากต่างประเทศที่อพยพเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และครอบครัวหรือครัวเรือนโลกาภิวัฒน์ เช่นการแต่งงานของหญิงไทยกับคู่สมรสชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรปและอเมริกาเป็นต้น เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวแบบไร้พรมแดน ของเงินทุน คน เทคโนโลยี และข้อมูลข่าวสาร
จากการศึกษาของ อมรา สุนทรธาดา และ สุพัตรา เลิศชัยเพชร (2552) ได้นำเสนอประเด็นของครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในระดับบุคคลและสังคม โดยเฉพาะเมื่อ 30 ปี หญิงไทยมีบุตรเฉลี่ย 6 คน แต่จากการคาดประมาณประชากร ปี 2552 พบว่าหญิงไทยมีบุตรเฉลี่ย 1.5 คน และการอยู่อาศัยที่มีครอบครัวมากกว่าคน 2 รุ่นที่มีกิจกรรมต่าง ๆร่วมกัน ในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การอบรมเลี้ยงดู การปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม กลับกลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่เลี้ยงเดียว ครอบครัวเพศเดียวกัน ครอบคัวบุตรบุญธรรม ครอบครัวผู้สูงอายุ ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุและเด็ก เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นตัวกำหนด และสรุปว่าแนวคิดและวิเคราะห์เพื่ออนุมานว่า การลดลงของครอบครัวช่วงสามวัยจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว ความมั่นคง ความคุ้มครองทางสังคมสำหรับเยาวชนและผู้สูงอายุ