ครอบครัวกับผู้สูงอายุ
เมื่อมาศึกษาในสถานการณ์ของครอบครัวไทยในปัจจุบันพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในหลาย
ๆ ด้าน จากการศึกษาเรื่องบทบาทและหน้าที่ของครอบครัวไทยในปัจจุบันของ อภิชาติ
จำรัสฤทธิรงค์ และ ปัญญา ชูเลิศ (2552) ได้สำรวจสถานการณ์ของสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทย พบว่า
ความบกพร่องของบทบาทหน้าที่ของสถาบันครอบครัวตามดัชนีชี้วัดที่ได้สร้างขึ้นมีอยู่เพียงร้อยละ
8.8 กล่าวได้ว่าครอบครัวไทยยังคงมีบทบาทที่สำคัญ
แต่ในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางประชากร เศรษฐกิจ และสังคม
ตลอดจนวัฒนธรรมบางประการที่มีผลลบกับครอบครัว ที่พบว่า
ประชากรประกอบอาชีพที่ไม่มีความมั่นคง และมีฐานะยากจน
จะมีความอ่อนแอต่อครอบครัวมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ
ซึ่งรวมถึงการเลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติที่เกี่ยวข้องระหว่างบุคคลและสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางด้านครอบครัวในต่างประเทศ
มีรูปแบบที่หลากหลาย ตลอดจนสถานการณ์ของครอบครัวในต่างประเทศที่พบประเด็น
คนไร้บ้าน การปฏิบัติตัวของพ่อแม่เมื่อมีลูกเป็นเกย์
ส่วนในประเทศอังกฤษมีกฎหมายใหม่เกี่ยวกับแม่เลี้ยงเดี่ยว
หรือมีการบำบัดเด็กออทิสติกด้วยการ์ตูนวีดิโอ ส่วนในประเทศไทยบำบัดด้วยช้าง ตลอดจน
บทสรุปการมองสังคมอเมริกันผ่านคนรุ่นต่างๆ (ชาย โพธิสิตา และ สุชาดา ทวีสิทธิ์, 2552)
จากข้อมูลกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีครอบครัว 20 ล้านกว่าครอบครัว มีการหย่าร้างมากขึ้นโดยเฉลี่ยหย่าร้างกันชั่วโมงละ 10 คน อีกทั้งสภาพครอบครัวไทย มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ประเทศมีครอบครัวเดี่ยว 9 ล้าน 4 แสนครอบครัว ในจำนวนนี้เป็นครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกอยู่ด้วยกัน ประมาณ 5 ล้าน 6 แสนครอบครัว เป็นครอบครัวที่เหลือพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกฝ่ายเดียวประมาณ 1 ล้าน 3 แสนครอบครัว ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาความเปราะบาง และความสัมพันธ์ในครอบครัว (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 2551)
หากมาพิจารณาถึงครอบครัวที่มีประชากรสูงอายุพบว่า จำนวนครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุเป็นหัวหน้าครัวเรือนมีประมาณร้อยละ 21 และร้อยละ 22 ในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2545 ตามลำดับ (จากการคำนวณมีประมาณ 4 ล้านครอบครัว) นับได้ว่าเป็นอัตราที่สูง และในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนในเขตชนบทประมาณร้อยละ 69 และร้อยละ 75 ในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2545 ตามลำดับ ซึ่งครัวเรือนที่ผู้สูงอายุเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นมีโอกาสยากจนกว่าหัวหน้าครัวเรือนในวัยทำงาน และอาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างและสัมพันธภาพระหว่างครอบครัวที่เคยมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติและมีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวเริ่มสั่นคลอน คือปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังมากขึ้นหรือสมาชิกในครอบครัวมีเวลายู่ด้วยกันน้อยลง การคุ้มครองทางสังคมสำหรับเยาวชนและผู้สูงอายุจะอ่อนแอลง เยาวชนจะพบปัญหาครอบครัวแตกแยก ครอบครัวไม่สมบูรณ์อาจเกิดปัญหายาเสพติด อาชญากรรม อุบัติเหตุ และการสูญเสียชีวิตเป็นต้น สำหรับผู้สูงอายุมีบทบาทในการช่วยเหลือกิจกรรมของครอบครัวต้องลดลงไป ทำให้สังคมละเลยคุณค่าผู้สูงอายุ เป็นผลให้ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังมากขึ้น ครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ หรือไม่เลี้ยงดู ทำให้ผู้สูงอายุอยู่ในสภาวะลำบากโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ยากจนเจ็บป่วย ผู้สูงอายุในชนบทเป็นจำนวนมากถูกทอดทิ้งให้รับภาระเลี้ยงดูหลาน หรือได้รับเงินไม่เพียงพอที่จะใช้ในการดำรงชีวิตและเลี้ยงดูหลาน ทำให้ผู้สูงอายุขาดความมั่นคงในชีวิต ส่วนผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมนั้นจากเดิมสังคมจะมีวัฎจักรชีวิตครอบครัว (family life cycle) แตกต่างไปจากเดิม โดยการเริ่มต้นของครอบครัวและการดำรงอยู่ของความเป็นครอบครัวนั้นไม่จำเป็นต้องมีรากฐานจากการอยู่ร่วมกันระหว่างชาย หญิงตามครรลองแห่งจารีต และผลิตสมาชิกให้สังคมที่มีปู่ ย่า ตา ยาย ให้การอบรมดูแลสมาชิกครอบครัวเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล (อมรา สุนทรธาดา และ สุพัตรา เลิศชัยเพชร (2552)
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (2553) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องผู้สูงอายุและความห่วงใย จำนวน 1,180 คน ทั่วประเทศ และสอบถามผู้สูงอายุจำนวน 411 คน การประมาณค่าสัดส่วนต่าง ๆในการสำรวจครั้งนี้มีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานไม่เกิน 0.07 สรุปผลการสำรวจโดยสอบถามในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่า ครอบครัวไทยเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข โดยที่ครอบครัวมีการพบปะสังสรรค์และทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวอย่างน้อยปีละ 5 ครั้ง ถึงร้อยละ 49.5 ส่วนการดูแลผู้สูงอายุ (พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย) ด้วยการให้เงินใช้เป็นประจำถึงร้อยละ 51.2 และสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการจากลูกหลานก็คือต้องการให้ลูกหลานมาพูดคุยหรือมาเยี่ยมเยียน ดูแลปรนนิบัติเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย และการให้คะแนนความสุขจากคะแนนเต็ม 10 พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสุขของครอบครัวทั่วประเทศเท่ากับ 8.3 ในด้านเยาวชนเห็นว่าผู้สูงอายุเป็นเสาหลัก เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้กำลังใจกับครอบครัวถึงร้อยละ 44.5 ให้ความอบอุ่นแก่ลูกหลาน ร้อยละ 29.2 และเป็นที่พึ่งช่วยแก้ปัญหาครอบครัวได้ร้อยละ 12.6 ส่วนในด้านลบจะมองผู้สูงอายุ ขี้งอน ใจน้อย เอาแต่ใจ จู้จี้ขี้บ่น น่ารำคาญ หรือมีสุขภาพอ่อนแอ หัวโบราณ มีความคิดไม่ทันสมัย และได้ข้อสรุปสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สถาบันครอบครัวเข้มแข้ง คือ ความรักและความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และยังมีความเข้าใจ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกื้อกูลกัน ให้กำลังใจกัน การรับฟังปัญหาและช่วยกันแก้ปัญหา เป็นต้น
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2552) ได้สังเคราะห์ผลงานวิจัยเรื่องครอบครัวและผู้สูงอายุ การทบทวนและสังเคราะห์องค์ความรู้ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2545-2550 ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมามีผลงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ในการสังเคราะห์ที่เป็นตัวแทนและการนำมาอ้างอิงผลได้จำนวน 35 เรื่อง จากจำนวน 74 เรื่อง มีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้
1. การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุในครอบครัว ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ร้อยละ 71.4 อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลร้อยละ 28. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้สูงอายุมากที่สุด ร้อยละ 23.6 จังหวัดที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดคือ จังหวัดนครราชสีมา รองลงมาเป็นจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันผู้สูงอายุอยู่ในครอบครัวขยายร้อยละ 58.3 ครอบครัวเดี่ยวร้อยละ 31.0 แต่ก็ยังพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่อยู่คนเดียว ร้อยละ 7.5 และอาศัยอยู่กับหลานในลักษณะครอบครัวโดด ร้อยละ 3.1
2. แบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ครอบครัวโดยทั่วไปมีแบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวันไม่แตกต่างกัน ได้แก่การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน เดินรอบ ๆ บ้าน การดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ฟังธรรมเป็นต้น และการศึกษาการดำเนินชีวิตโดยใช้ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมทางสังคมเป็นกรอบการพิจารณา 8 กลุ่มคือ 1) กลุ่มที่มีความจริงจังกับชีวิต ยึดมั่นค่านิยมเดิม ยึดมั่นในจารีตประเพณี มีเพียงร้อยละ 13 2) กลุ่มที่ไม่สนใจอะไรในชีวิต ไม่ชอบการทำกิจกรรม มองโลกในแง่ร้าย มีจำนวนน้อยเพียงร้อยละ 1 3) กลุ่มที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง ชอบนอนหลับพักผ่อนไม่ชอบสังคม มีร้อยละ 0.5 4) กลุ่มที่ไม่ยึดมั่นในจารีตประเพณี ชีวิตที่หยุดนิ่ง ไร้ความสุข ไม่สนใจข่าวสาร ไม่รักครอบครัวและลูกหลาน และไม่มีความสุข มีเพียงร้อยละ 21.8 5) กลุ่มรักสนุก สนใจเทคโนโลยี ไม่สนใจลูกหลาน ชอบพบปะผู้คน ชอบงานรื่นเริงชอบการท่องงเที่ยว มีร้อยละ 15.8 6) กลุ่มหัวโบราณล้าสมัย ไม่ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ รักลูกหลานครอบครัว ชอบสังคม เล่นกีฬา ใส่ใจสุขภาพ มีร้อยละ 27 7) กลุ่มที่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา ไม่ชอบเดินทาง ไม่สนใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีร้อยละ 10.3 และ 8) กลุ่มหัวสมัยใหม่ สนใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ รักลูกหลานและครอบครัว ใส่ใจดูแลสุขภาพ บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ร้อยละ 27.0
3. บทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุแบ่งได้เป็น 4 บทบาท คือ 1) บทบาทในการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย เป็นการดูแลกิจวัตรประจำวัน จัดหาและดูแลเรื่องอาหารการกิน การจัดที่อยู่อาศัยให้อยู่อย่างเหมาะสม การดูแลเมื่อเจ็บป่วย การอำนวยความสะดวกเรื่องพาหนะเดินทาง และการช่วยเหลือด้านแรงงาน 2) บทบาทการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจ ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดวิกฤติทางจิตใจอารมณ์หลายประการ มีอาการซึมเศร้าอารมณ์อ่อนไหวง่าย บทบาทส่วนใหญ่เป็นเรื่องของค่านิยมในการเคารพผู้อาวุโส 3) บทบาทการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้สูงอายุ การจัดหาอาชีพที่เหมาะสม ตลอดจนช่วยเหลือควบคุมดูแลธุรกิจ ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ต่าง ๆ และ 4) บทบาทในการตอบสนองความต้องการด้านสังคม ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัว เพื่อรับรู้ข่าวสาร และความเป็นไปของสังคม ส่วนการเกื้อหนุนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคมส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมทางศาสนามากกว่าด้านอื่น ๆ
4. การรับบทบาทเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ มีสมาชิกในครอบครัวทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล และมีความ
เกี่ยวพันกันทางสายเลือด ส่วนใหญ่เป็นบุตรเพศหญิงและอยู่ในวัยกลางคน เริ่มจากเมื่อบิดา มารดาสูงอายุ มีปัญหาความบกพร่องด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ความนึกคิด มีสภาวะทางร่างกายที่เสื่อมโทรม จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในภาวะที่ปกติ สมาชิกในครอบครัวจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือดูแล เป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยที่กำหนดเป็นเพศหญิงสืบเนื่องจากพื้นฐานความเชื่อทางสังคม การปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรม และเพศชายมักจะทำหน้าที่ช่วยเหลือจัดการด้านค่าใช้จ่ายและเรื่องอื่น ๆ และบทบาทเพื่อการทดแทนบุญคุณ และค่านิยมเรื่องกตัญญูกตเวที การเป็นสมาชิกในครอบครัวคนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านของบิดา มารดา และผู้ดูแลต้องอยู่ในบทบาทเชิงซ้อน (Sandwich roles) คือมีบทบาทหลาย ๆ ด้านทั้งการเป็นภรรยา แม่บ้าน สตรีวัยทำงานเพื่อหารายได้ และเป็นผู้ดูแลบุตรและผู้สูงอายุผู้เป็นบุพการรีพร้อมกัน มีภาระหน้าที่ในการดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไป จัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ ดูแลอนามัยส่วนบุคคล ดูแลเมื่อยามเจ็บป่วย หรือการอำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทาง และหน้าที่ในการสร้างความรู้สึกอบอุ่นใจและความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุ
5. ความสุขของผู้สูงอายุ ความสุขเป็นเรื่องของความรู้สึกองค์รวมเชิงอัตวิสัย (Subjective) มีการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การมีศีลธรรม สมาธิ ปัญญา ความรู้สึกพอเพียงไม่โลภ และ มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม มีครอบครัวที่อบอุ่น การมีสุขภาพดี โดยนำมาเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่มรสถานะใกล้เคียง และมีความเชื่อที่เกี่ยวกับความสุขได้แก่ ชะตาชีวิตหรือวาสนา และความเชื่อเรื่องเวรกรรม องค์ประกอบของชีวิตที่มีความสุขได้แก่ การมีสุขภาพดี พออยู่ พอกิน ได้ทำบุญ ช่วยเหลือผู้อื่น และอยู่ในที่ดี รวมทั้งการปฏิบัติตนเพื่อให้ชีวิตมีความสุขได้แก่ การรักษาสุขภาพ การทำบุญปฏิบัติธรรม การทำตามความคาดหวังในสังคม และมีความสุขทางบริบทสังคมวัฒนธรรมคือ ระบบเครือญาติใกล้ชิดกัน ระบบสังคมครอบครัวอบอุ่นให้คุณค่าเชิงบวก ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความสุขของผู้สูงอายุไทยได้แก่ การไม่เป็นหนี้ การมีสุขภาพดี การอยู่อาศัยในชุมชนที่ดี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ไม่รู้สึกกังวลต่อความปลอดภัย และความรู้สึกพอเพียง
6. ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุในครอบครัว อาจพิจารณาถึง การละเลย ทำร้ายและแสวงหาผลประโยชน์จากผู้สูงอายุทั้งทางด้านอารมณ์ ร่างกาย การเงินและทรัพย์สิน การทำร้ายทางเพศ และการทอดทิ้ง โดยมีพฤติกรรมความรุนแรงด้านจิตใจและอารมณ์ในลักษณะพฤติกรรมที่สมาชิกในครอบครัวทำร้ายจิตใจของผู้สูงอายุ เช่น ไม่รับฟัง เพิกเฉยต่อความคิดเห็น การที่สมาชิกในครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟัง และการทำร้ายร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่นการทำร้าย ทุบตี ผลักไส เป็นต้น
7. การดูแลบุตรและสมาชิกในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ของผู้สูงอายุ มีบทบาทในการเกื้อกูลผู้ติดเชื้อในด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านอารมณ์จิตใจ ด้านเวลาและแรงงาน การสนับสนุนด้านการเงิน และด้านสังคม ส่วนผลกระทบต่อผู้สูงอายุได้แก่ ผลกระทบทางด้านร่างกายที่ต้องแบกภาระการดูแลหลาน ผลกระทบด้านจิตใจที่เกิดความรู้สึก หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ส่วนผลกรทบด้านเศรษฐกิจ ต้องใช้เงินจำนวนมาก และผลกระทบต่อสังคม ที่ถูกมองจากชาวบ้านด้วยสายตารังเกียจ หวาดกลัวไม่ไว้วางใจ
8. ความต้องการของผู้สูงอายุที่มีต่อผู้ดูแลและสมาชิกในครอบครัว ประกอบไปด้วย 1) การปฏิบัติดูแลด้วยความเข้าใจ ผู้ดูแลควรมีวิจารณญาณที่ดีในการรู้ความต้องการของผู้สูงอายุ รู้ขั้นตอนในการดูแลต่าง ๆและเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ให้ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ 2) ผู้สูงอายุต้องการให้ผู้ดูแลยอมรับ อารมณ์แปรปรวนในผู้สูงอายุที่มีสาเหตุมาขาดความเจ็บป่วย และไม่ควรถือสาตอบโต้ 3) ดูแลด้วยความเต็มใจ จะส่งผลต่อการดูแลผู้สูงอายุด้านสุขภาพจิต เนื่องจากทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกสบายใจ พอใจ 4) ต้องการให้ผู้ดูแลมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารที่ดีและให้เกียรติผู้สูงอายุ 5) ต้องการให้ปฏิบัติด้วยความเคารพและผูกพัน ที่ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่ายังเป็นบุคคลสำคัญ เป็นที่เคารพรักของคนในครอบครัว และ 6) ต้องการให้ลูกหลานมาเยี่ยมอยู่ใกล้ ๆ ในยามเจ็บป่วย
จากข้อมูลกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีครอบครัว 20 ล้านกว่าครอบครัว มีการหย่าร้างมากขึ้นโดยเฉลี่ยหย่าร้างกันชั่วโมงละ 10 คน อีกทั้งสภาพครอบครัวไทย มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ประเทศมีครอบครัวเดี่ยว 9 ล้าน 4 แสนครอบครัว ในจำนวนนี้เป็นครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกอยู่ด้วยกัน ประมาณ 5 ล้าน 6 แสนครอบครัว เป็นครอบครัวที่เหลือพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกฝ่ายเดียวประมาณ 1 ล้าน 3 แสนครอบครัว ทำให้เสี่ยงต่อปัญหาความเปราะบาง และความสัมพันธ์ในครอบครัว (กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 2551)
หากมาพิจารณาถึงครอบครัวที่มีประชากรสูงอายุพบว่า จำนวนครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุเป็นหัวหน้าครัวเรือนมีประมาณร้อยละ 21 และร้อยละ 22 ในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2545 ตามลำดับ (จากการคำนวณมีประมาณ 4 ล้านครอบครัว) นับได้ว่าเป็นอัตราที่สูง และในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนในเขตชนบทประมาณร้อยละ 69 และร้อยละ 75 ในปี พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2545 ตามลำดับ ซึ่งครัวเรือนที่ผู้สูงอายุเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้นมีโอกาสยากจนกว่าหัวหน้าครัวเรือนในวัยทำงาน และอาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างและสัมพันธภาพระหว่างครอบครัวที่เคยมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติและมีความผูกพันกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวเริ่มสั่นคลอน คือปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังมากขึ้นหรือสมาชิกในครอบครัวมีเวลายู่ด้วยกันน้อยลง การคุ้มครองทางสังคมสำหรับเยาวชนและผู้สูงอายุจะอ่อนแอลง เยาวชนจะพบปัญหาครอบครัวแตกแยก ครอบครัวไม่สมบูรณ์อาจเกิดปัญหายาเสพติด อาชญากรรม อุบัติเหตุ และการสูญเสียชีวิตเป็นต้น สำหรับผู้สูงอายุมีบทบาทในการช่วยเหลือกิจกรรมของครอบครัวต้องลดลงไป ทำให้สังคมละเลยคุณค่าผู้สูงอายุ เป็นผลให้ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังมากขึ้น ครอบครัวไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ หรือไม่เลี้ยงดู ทำให้ผู้สูงอายุอยู่ในสภาวะลำบากโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ยากจนเจ็บป่วย ผู้สูงอายุในชนบทเป็นจำนวนมากถูกทอดทิ้งให้รับภาระเลี้ยงดูหลาน หรือได้รับเงินไม่เพียงพอที่จะใช้ในการดำรงชีวิตและเลี้ยงดูหลาน ทำให้ผู้สูงอายุขาดความมั่นคงในชีวิต ส่วนผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมนั้นจากเดิมสังคมจะมีวัฎจักรชีวิตครอบครัว (family life cycle) แตกต่างไปจากเดิม โดยการเริ่มต้นของครอบครัวและการดำรงอยู่ของความเป็นครอบครัวนั้นไม่จำเป็นต้องมีรากฐานจากการอยู่ร่วมกันระหว่างชาย หญิงตามครรลองแห่งจารีต และผลิตสมาชิกให้สังคมที่มีปู่ ย่า ตา ยาย ให้การอบรมดูแลสมาชิกครอบครัวเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล (อมรา สุนทรธาดา และ สุพัตรา เลิศชัยเพชร (2552)
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (2553) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องผู้สูงอายุและความห่วงใย จำนวน 1,180 คน ทั่วประเทศ และสอบถามผู้สูงอายุจำนวน 411 คน การประมาณค่าสัดส่วนต่าง ๆในการสำรวจครั้งนี้มีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานไม่เกิน 0.07 สรุปผลการสำรวจโดยสอบถามในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่า ครอบครัวไทยเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข โดยที่ครอบครัวมีการพบปะสังสรรค์และทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวอย่างน้อยปีละ 5 ครั้ง ถึงร้อยละ 49.5 ส่วนการดูแลผู้สูงอายุ (พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย) ด้วยการให้เงินใช้เป็นประจำถึงร้อยละ 51.2 และสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการจากลูกหลานก็คือต้องการให้ลูกหลานมาพูดคุยหรือมาเยี่ยมเยียน ดูแลปรนนิบัติเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย และการให้คะแนนความสุขจากคะแนนเต็ม 10 พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสุขของครอบครัวทั่วประเทศเท่ากับ 8.3 ในด้านเยาวชนเห็นว่าผู้สูงอายุเป็นเสาหลัก เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้กำลังใจกับครอบครัวถึงร้อยละ 44.5 ให้ความอบอุ่นแก่ลูกหลาน ร้อยละ 29.2 และเป็นที่พึ่งช่วยแก้ปัญหาครอบครัวได้ร้อยละ 12.6 ส่วนในด้านลบจะมองผู้สูงอายุ ขี้งอน ใจน้อย เอาแต่ใจ จู้จี้ขี้บ่น น่ารำคาญ หรือมีสุขภาพอ่อนแอ หัวโบราณ มีความคิดไม่ทันสมัย และได้ข้อสรุปสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สถาบันครอบครัวเข้มแข้ง คือ ความรักและความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และยังมีความเข้าใจ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกื้อกูลกัน ให้กำลังใจกัน การรับฟังปัญหาและช่วยกันแก้ปัญหา เป็นต้น
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร (2552) ได้สังเคราะห์ผลงานวิจัยเรื่องครอบครัวและผู้สูงอายุ การทบทวนและสังเคราะห์องค์ความรู้ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2545-2550 ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมามีผลงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้ในการสังเคราะห์ที่เป็นตัวแทนและการนำมาอ้างอิงผลได้จำนวน 35 เรื่อง จากจำนวน 74 เรื่อง มีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้
1. การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุในครอบครัว ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ร้อยละ 71.4 อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลร้อยละ 28. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้สูงอายุมากที่สุด ร้อยละ 23.6 จังหวัดที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดคือ จังหวัดนครราชสีมา รองลงมาเป็นจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันผู้สูงอายุอยู่ในครอบครัวขยายร้อยละ 58.3 ครอบครัวเดี่ยวร้อยละ 31.0 แต่ก็ยังพบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งที่อยู่คนเดียว ร้อยละ 7.5 และอาศัยอยู่กับหลานในลักษณะครอบครัวโดด ร้อยละ 3.1
2. แบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ครอบครัวโดยทั่วไปมีแบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวันไม่แตกต่างกัน ได้แก่การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน เดินรอบ ๆ บ้าน การดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ฟังธรรมเป็นต้น และการศึกษาการดำเนินชีวิตโดยใช้ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมทางสังคมเป็นกรอบการพิจารณา 8 กลุ่มคือ 1) กลุ่มที่มีความจริงจังกับชีวิต ยึดมั่นค่านิยมเดิม ยึดมั่นในจารีตประเพณี มีเพียงร้อยละ 13 2) กลุ่มที่ไม่สนใจอะไรในชีวิต ไม่ชอบการทำกิจกรรม มองโลกในแง่ร้าย มีจำนวนน้อยเพียงร้อยละ 1 3) กลุ่มที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง ชอบนอนหลับพักผ่อนไม่ชอบสังคม มีร้อยละ 0.5 4) กลุ่มที่ไม่ยึดมั่นในจารีตประเพณี ชีวิตที่หยุดนิ่ง ไร้ความสุข ไม่สนใจข่าวสาร ไม่รักครอบครัวและลูกหลาน และไม่มีความสุข มีเพียงร้อยละ 21.8 5) กลุ่มรักสนุก สนใจเทคโนโลยี ไม่สนใจลูกหลาน ชอบพบปะผู้คน ชอบงานรื่นเริงชอบการท่องงเที่ยว มีร้อยละ 15.8 6) กลุ่มหัวโบราณล้าสมัย ไม่ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ รักลูกหลานครอบครัว ชอบสังคม เล่นกีฬา ใส่ใจสุขภาพ มีร้อยละ 27 7) กลุ่มที่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา ไม่ชอบเดินทาง ไม่สนใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีร้อยละ 10.3 และ 8) กลุ่มหัวสมัยใหม่ สนใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ รักลูกหลานและครอบครัว ใส่ใจดูแลสุขภาพ บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ร้อยละ 27.0
3. บทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุแบ่งได้เป็น 4 บทบาท คือ 1) บทบาทในการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย เป็นการดูแลกิจวัตรประจำวัน จัดหาและดูแลเรื่องอาหารการกิน การจัดที่อยู่อาศัยให้อยู่อย่างเหมาะสม การดูแลเมื่อเจ็บป่วย การอำนวยความสะดวกเรื่องพาหนะเดินทาง และการช่วยเหลือด้านแรงงาน 2) บทบาทการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจ ผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดวิกฤติทางจิตใจอารมณ์หลายประการ มีอาการซึมเศร้าอารมณ์อ่อนไหวง่าย บทบาทส่วนใหญ่เป็นเรื่องของค่านิยมในการเคารพผู้อาวุโส 3) บทบาทการดูแลที่ตอบสนองความต้องการด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้สูงอายุ การจัดหาอาชีพที่เหมาะสม ตลอดจนช่วยเหลือควบคุมดูแลธุรกิจ ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ต่าง ๆ และ 4) บทบาทในการตอบสนองความต้องการด้านสังคม ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัว เพื่อรับรู้ข่าวสาร และความเป็นไปของสังคม ส่วนการเกื้อหนุนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคมส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมทางศาสนามากกว่าด้านอื่น ๆ
4. การรับบทบาทเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ มีสมาชิกในครอบครัวทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล และมีความ
เกี่ยวพันกันทางสายเลือด ส่วนใหญ่เป็นบุตรเพศหญิงและอยู่ในวัยกลางคน เริ่มจากเมื่อบิดา มารดาสูงอายุ มีปัญหาความบกพร่องด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ความนึกคิด มีสภาวะทางร่างกายที่เสื่อมโทรม จนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในภาวะที่ปกติ สมาชิกในครอบครัวจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือดูแล เป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยที่กำหนดเป็นเพศหญิงสืบเนื่องจากพื้นฐานความเชื่อทางสังคม การปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรม และเพศชายมักจะทำหน้าที่ช่วยเหลือจัดการด้านค่าใช้จ่ายและเรื่องอื่น ๆ และบทบาทเพื่อการทดแทนบุญคุณ และค่านิยมเรื่องกตัญญูกตเวที การเป็นสมาชิกในครอบครัวคนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านของบิดา มารดา และผู้ดูแลต้องอยู่ในบทบาทเชิงซ้อน (Sandwich roles) คือมีบทบาทหลาย ๆ ด้านทั้งการเป็นภรรยา แม่บ้าน สตรีวัยทำงานเพื่อหารายได้ และเป็นผู้ดูแลบุตรและผู้สูงอายุผู้เป็นบุพการรีพร้อมกัน มีภาระหน้าที่ในการดูแลกิจวัตรประจำวันทั่วไป จัดหาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ ดูแลอนามัยส่วนบุคคล ดูแลเมื่อยามเจ็บป่วย หรือการอำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทาง และหน้าที่ในการสร้างความรู้สึกอบอุ่นใจและความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ผู้สูงอายุ
5. ความสุขของผู้สูงอายุ ความสุขเป็นเรื่องของความรู้สึกองค์รวมเชิงอัตวิสัย (Subjective) มีการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การมีศีลธรรม สมาธิ ปัญญา ความรู้สึกพอเพียงไม่โลภ และ มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม มีครอบครัวที่อบอุ่น การมีสุขภาพดี โดยนำมาเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่มรสถานะใกล้เคียง และมีความเชื่อที่เกี่ยวกับความสุขได้แก่ ชะตาชีวิตหรือวาสนา และความเชื่อเรื่องเวรกรรม องค์ประกอบของชีวิตที่มีความสุขได้แก่ การมีสุขภาพดี พออยู่ พอกิน ได้ทำบุญ ช่วยเหลือผู้อื่น และอยู่ในที่ดี รวมทั้งการปฏิบัติตนเพื่อให้ชีวิตมีความสุขได้แก่ การรักษาสุขภาพ การทำบุญปฏิบัติธรรม การทำตามความคาดหวังในสังคม และมีความสุขทางบริบทสังคมวัฒนธรรมคือ ระบบเครือญาติใกล้ชิดกัน ระบบสังคมครอบครัวอบอุ่นให้คุณค่าเชิงบวก ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความสุขของผู้สูงอายุไทยได้แก่ การไม่เป็นหนี้ การมีสุขภาพดี การอยู่อาศัยในชุมชนที่ดี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ไม่รู้สึกกังวลต่อความปลอดภัย และความรู้สึกพอเพียง
6. ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุในครอบครัว อาจพิจารณาถึง การละเลย ทำร้ายและแสวงหาผลประโยชน์จากผู้สูงอายุทั้งทางด้านอารมณ์ ร่างกาย การเงินและทรัพย์สิน การทำร้ายทางเพศ และการทอดทิ้ง โดยมีพฤติกรรมความรุนแรงด้านจิตใจและอารมณ์ในลักษณะพฤติกรรมที่สมาชิกในครอบครัวทำร้ายจิตใจของผู้สูงอายุ เช่น ไม่รับฟัง เพิกเฉยต่อความคิดเห็น การที่สมาชิกในครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟัง และการทำร้ายร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่นการทำร้าย ทุบตี ผลักไส เป็นต้น
7. การดูแลบุตรและสมาชิกในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคเอดส์ของผู้สูงอายุ มีบทบาทในการเกื้อกูลผู้ติดเชื้อในด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านอารมณ์จิตใจ ด้านเวลาและแรงงาน การสนับสนุนด้านการเงิน และด้านสังคม ส่วนผลกระทบต่อผู้สูงอายุได้แก่ ผลกระทบทางด้านร่างกายที่ต้องแบกภาระการดูแลหลาน ผลกระทบด้านจิตใจที่เกิดความรู้สึก หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ส่วนผลกรทบด้านเศรษฐกิจ ต้องใช้เงินจำนวนมาก และผลกระทบต่อสังคม ที่ถูกมองจากชาวบ้านด้วยสายตารังเกียจ หวาดกลัวไม่ไว้วางใจ
8. ความต้องการของผู้สูงอายุที่มีต่อผู้ดูแลและสมาชิกในครอบครัว ประกอบไปด้วย 1) การปฏิบัติดูแลด้วยความเข้าใจ ผู้ดูแลควรมีวิจารณญาณที่ดีในการรู้ความต้องการของผู้สูงอายุ รู้ขั้นตอนในการดูแลต่าง ๆและเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ให้ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ 2) ผู้สูงอายุต้องการให้ผู้ดูแลยอมรับ อารมณ์แปรปรวนในผู้สูงอายุที่มีสาเหตุมาขาดความเจ็บป่วย และไม่ควรถือสาตอบโต้ 3) ดูแลด้วยความเต็มใจ จะส่งผลต่อการดูแลผู้สูงอายุด้านสุขภาพจิต เนื่องจากทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกสบายใจ พอใจ 4) ต้องการให้ผู้ดูแลมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารที่ดีและให้เกียรติผู้สูงอายุ 5) ต้องการให้ปฏิบัติด้วยความเคารพและผูกพัน ที่ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่ายังเป็นบุคคลสำคัญ เป็นที่เคารพรักของคนในครอบครัว และ 6) ต้องการให้ลูกหลานมาเยี่ยมอยู่ใกล้ ๆ ในยามเจ็บป่วย