การทบทวนงานที่เกี่ยวข้องในเรื่อง "ครอบครัวกับผู้สูงอายุ"
สังคมไทยกำลังก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในสถานการณ์ผู้สูงอายุ ที่มีเพิ่มมากขึ้นอีกทั้งเป็นปัญหาให้กับสังคมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครอบครัวก็ยังเป็นหัวใจหลัก
และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้สูงอายุ
สถานการณ์การดูแลของผู้สูงอายุไทยพบว่าครอบครัวเป็นผู้ให้การดูแลผู้สูงอายุ เมื่อพิจารณาลักษณะการอยู่อาศัยจะพบว่า ร้อยละ 92.3 ผู้สูงอายุไม่ได้อยู่คนเดียว มีเพียงร้อยละ 7.7 ผู้สูงอายุอาศัยอยู่คนเดียว และมีปัญหาจากการอาศัยอยู่คนเดียวถึงร้อยละ 43.3 เช่น รู้สึกเหงา ไม่มีคนช่วยทำงานบ้าน ไม่มีคนดูแลเมื่อเจ็บป่วย ต้องเลี้ยงชีพด้วยตนเอง มีปัญหาด้านการเงินเป็นต้น ส่วนในด้านการทำกิจวัตรประจำวัน ร้อยละ 88.0 ผู้สูงอายุสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ร้อยละ 10.9 มีผู้ดูแล และร้อยละ 1.1 ไม่มีผู้ดูแล ส่วนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลกับผู้สูงอายุนั้นพบว่าผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นบุตรหญิง ร้อยละ 40.5 รองลงมาคือคู่สมรสโดยมีภรรยาเป็นผู้ดูแลปรนนิบัติ (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2553)
ในส่วนของผู้ดูแลนั้นพบปัญหาจากการให้การดูแล เช่น ภาวะอารมณ์ จิตใจ ความเครียด ความเหนื่อยล้า และขาดความรู้ในการดูแล จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยครอบครัวมาช่วยเหลือดูแล และอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทั้งจากผู้ดูแล การเงิน และวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยในการดูแลของผู้ดูแลและยังต้องพึ่งพาบุคลากรทางด้านสุขภาพ ดังนั้นการดูแลในระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุจึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องเกิดระบบนี้ขึ้นโดยที่ครอบครัวมีหน้าที่หลักมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ แต่จากการศึกษาของ จอห์น โนเดล และ นภาพร ชโยวรรณ (2552)
ในเรื่องการเกื้อหนุนโดยครอบครัวและการแลกเปลี่ยนระหว่างคนต่างรุ่น พบว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในครอบครัวไทย ที่ส่งผลต่อปัญหาความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงต้องมีระบบบริการชุมชนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่ครอบครัวไม่สามารถดูแลได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นครอบครัวก็ยังเป็นหัวใจหลัก และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ
จึงเป็นที่มาในความสนใจศึกษาสถานการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวโดยครอบครัวเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดระบบหรือเกิดนวตกรรมใหม่ ๆในการดูแลร่วมกันของครอบครัว บุคลากรด้านสุขภาพและสังคม ที่มีความสอดคล้องเหมาะสมกับสังคมกับบริบทในสังคมไทย อีกทั้งยังสามารถพัฒนาหรือเสริมสร้างศักยภาพทั้งจากครอบครัว ชุมชนให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพต่อไป
สถานการณ์การดูแลของผู้สูงอายุไทยพบว่าครอบครัวเป็นผู้ให้การดูแลผู้สูงอายุ เมื่อพิจารณาลักษณะการอยู่อาศัยจะพบว่า ร้อยละ 92.3 ผู้สูงอายุไม่ได้อยู่คนเดียว มีเพียงร้อยละ 7.7 ผู้สูงอายุอาศัยอยู่คนเดียว และมีปัญหาจากการอาศัยอยู่คนเดียวถึงร้อยละ 43.3 เช่น รู้สึกเหงา ไม่มีคนช่วยทำงานบ้าน ไม่มีคนดูแลเมื่อเจ็บป่วย ต้องเลี้ยงชีพด้วยตนเอง มีปัญหาด้านการเงินเป็นต้น ส่วนในด้านการทำกิจวัตรประจำวัน ร้อยละ 88.0 ผู้สูงอายุสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ร้อยละ 10.9 มีผู้ดูแล และร้อยละ 1.1 ไม่มีผู้ดูแล ส่วนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลกับผู้สูงอายุนั้นพบว่าผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นบุตรหญิง ร้อยละ 40.5 รองลงมาคือคู่สมรสโดยมีภรรยาเป็นผู้ดูแลปรนนิบัติ (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2553)
ในส่วนของผู้ดูแลนั้นพบปัญหาจากการให้การดูแล เช่น ภาวะอารมณ์ จิตใจ ความเครียด ความเหนื่อยล้า และขาดความรู้ในการดูแล จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยครอบครัวมาช่วยเหลือดูแล และอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทั้งจากผู้ดูแล การเงิน และวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยในการดูแลของผู้ดูแลและยังต้องพึ่งพาบุคลากรทางด้านสุขภาพ ดังนั้นการดูแลในระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุจึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องเกิดระบบนี้ขึ้นโดยที่ครอบครัวมีหน้าที่หลักมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ แต่จากการศึกษาของ จอห์น โนเดล และ นภาพร ชโยวรรณ (2552)
ในเรื่องการเกื้อหนุนโดยครอบครัวและการแลกเปลี่ยนระหว่างคนต่างรุ่น พบว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในครอบครัวไทย ที่ส่งผลต่อปัญหาความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงต้องมีระบบบริการชุมชนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่ครอบครัวไม่สามารถดูแลได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นครอบครัวก็ยังเป็นหัวใจหลัก และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุ
จึงเป็นที่มาในความสนใจศึกษาสถานการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวโดยครอบครัวเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดระบบหรือเกิดนวตกรรมใหม่ ๆในการดูแลร่วมกันของครอบครัว บุคลากรด้านสุขภาพและสังคม ที่มีความสอดคล้องเหมาะสมกับสังคมกับบริบทในสังคมไทย อีกทั้งยังสามารถพัฒนาหรือเสริมสร้างศักยภาพทั้งจากครอบครัว ชุมชนให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพต่อไป