ความหมาย ชนิด รูปแบบ ของครอบครัวไทย
1. ความหมายของครอบครัว
รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) ได้นำเสนอผู้ให้ความหมายของครอบครัวไว้หลายท่านที่ให้ไว้หลายนิยาม และสหสาขาวิทยาการ เช่น ครอบครัวเป็นกลุ่มของบุคคลที่สมาชิกมีความสัมพันธ์กันโดยสายเลือดหรือการเข้ารับเป็นบุตรบุญธรรม สมาชิกอยู่ร่วมในครัวเรือนเดียวกันหรือบริเวณเดียวกัน มีความสัมพันธ์กันตามบทบาทหน้าที่ เช่น บิดา มารดา เป็นสามี ภรรยา และบุตร มีกรอบวัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีของครอบครัวร่วมกัน ครอบครัวเป็นหน่วยสังคมที่เล็กที่สุด เป็นสถาบันที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมาชิกในครอบครัวมีความผูกพันกันอย่างแนบแน่นและใกล้ชิดกัน มีความรักซึ่งกันและกัน เป็นสถาบันทางสังคมที่บุคคลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยาวนาน ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ครอบครัวยังมีหน้าที่ให้การอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน เป็นแหล่งสร้างสรรค์สมาชิกใหม่ให้กับสังคม หากเมื่อเกิดปัญหาอุปสรรคครอบครัวยังเป็นแหล่งให้การช่วยเหลือ ทำให้สามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคผ่านไปได้ และสรุปความหมายของครอบครัวมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้คือ ครอบครัวประกอบไปด้วยคนมากกว่า 1 คนขึ้นไป สมาชิกในครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตหรือทางกฎหมาย ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ และสมาชิกในครอบครัวมีบทบาทในครอบครัวตามที่สังคมได้ให้ความหมายไว้ เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา เป็นต้น โดยมีหน้าที่รับผิดชอบตามบทบาทที่ได้รับ
Staurt (1991) ได้วิเคราะห์แนวคิดของครอบครัวในมุมมองทางการพยาบาลทำให้ได้คุณลักษณะ 5 ประการได้แก่ 1) ครอบครัวเป็นระบบ 1 ระบบ หรือเป็นหน่วย (unit) 2) ครอบครัวจะมีหรือไม่มีความสัมพันธ์ และมีหรือไม่มีการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยก็ได้ 3) ระบบหรือหน่วยของครอบครัวนี้จะมีเด็กหรือไม่มีเด็กด้วยก็ได้ 4) สมาชิกในครอบครัวมีข้อตกลงร่วมกันและผูกพันกันภายใต้กฎเกณฑ์ที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต และ 5) ระบบหรือหน่วยของครอบครัวจะมีหน้าที่ในการดูแลร่วมกันประกอบไปด้วย การปกป้อง การบำรุงเลี้ยงดู และมีกิจกรรมหรือบทบาททางสังคมร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว
สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (2548) ได้ศึกษาสถานการณ์ของครอบครัวมีบทสรุปว่าครอบครัวเป็นพลวัตและมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง มีความสัมพันธ์รวมทั้งมีความรับผิดชอบร่วมกัน จนเกิดการขยายจำนวน แตกแขนงออกเป็นครอบครัวย่อยๆ ซึ่งหากอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวขยาย สมาชิกที่อยู่ร่วมกันต่างมีความสัมพันธ์และมีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือดูแล และเกื้อกูลกันและกัน รูปแบบและวิธีการดำเนินชีวิตของครอบครัวต่างเปลี่ยนไปตามเวลาและตามสภาพแวดล้อมในสังคม โดยที่ครอบครัวเป็นทั้งผู้ได้รับผลกระทบและเป็นเหตุให้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม
เพ็ญจันทร์ เลิศรัตน์ (2551) ได้นำเสนอความหมายของครอบครัวไว้หลายการศึกษา เช่น ผู้ที่อยู่ร่วมกัน คนที่อยู่ร่วมครัวเรือน กลุ่มบุคคลที่มีความผูกพันกันทางอารมณ์จิตใจในการดำเนินชีวิตร่วมกัน การพึ่งพิงกันทางสังคมเศรษฐกิจ และมีความสัมพันธ์กันทางกฎหมายหรือสายเลือด ความหมายของครอบครัวมีการขยายความในมิติด้านความสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การพึ่งพาอาศัยกัน มีความผูกพันกันทางด้านจิตใจ เป็นต้น
สรุปได้ว่าครอบครัวหมายรวมถึง ความเป็นพลวัต มีการเปลี่ยนแปลงมายาวนาน โดยเริ่มจากบุคคลมากกว่า 1 คนมาอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตร่วมกัน และมีความผูกพันกัน พึ่งพาอาศัยกันหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและสังคม อารมณ์ จิตใจ ตลอดจนการดูแลกันทางสังคม ทั้งที่เกี่ยวข้องกันทางกฎหมายหรือไม่มีก็ได้ โดยบุคคลที่อาศัยในครัวเรือนเดียวกันที่มีความผูกพัน สัมพันธ์กันในมิติ หรือแง่มุมต่าง ๆ แม่ว่าจะไม่ได้สืบสายโลหิตก็ตามก็ยังถือว่าเป็นครอบครัวได้หากบุคคลนั้นมีความผูกพันกัน
2. ชนิดของครอบครัว
รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) นำสนอหลายการศึกษาเกี่ยวกับการแบ่งชนิดของครอบครัว โดยจำแนกประเภทตามลักษณะโครงสร้างของครอบครัว ความเป็นใหญ่ในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต สรุปได้ดังนี้
2.1 จำแนกตามโครงสร้างของครอบครัวโดยพิจารณาจากประเภทของสมาชิกได้แก่ ครอบครัวเดี่ยว (Nuclear family) ประกอบไปด้วย สามี ภรรยาและบุตร ครอบครัวขยาย (Extend family) ประกอบไปด้วยครอบครัวที่รวมทั้งญาติด้านสามี หรือภรรยาอยู่ด้วยกัน
2.2 จำแนกตามการอยู่อาศัยของคู่สมรส ได้แก่ ครอบครัวที่คู่สมรสเข้ามาอยู่ใหม่ เข้ามาอยู่ร่วมกันกับครอบครัวบิดา มารดาฝ่ายชาย (Patrilocal family) ครอบครัวที่คู่สมรสเข้ามาอยู่ใหม่ เข้ามาอยู่ร่วมกันกับครอบครัวบิดา มารดาฝ่ายหญิง (Matrilocal family) และครอบครัวที่คู่สมรสใหม่แยกครอบครัวไปอยู่ต่างหาก (Neolocal family)
2.3 จำแนกตามความเป็นใหญ่ในครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวที่บิดาหรือสามีเป็นใหญ่ (Patricheal family) ครอบครัวที่มารดาหรือภรรยาเป็นใหญ่ (Matricheal family) ครอบครัวที่สามีและภรรยามีความเป็นใหญ่เท่าเทียมกัน (Equalitarian family)
2.4 จำแนกตามความสัมพันธ์ทางสายโลหิต ได้แก่ การสืบสายโลหิตทางฝ่ายบิดา บุตรที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลฝ่ายบิดา (Patrilineal family) และ การสืบสายโลหิตทางฝ่ายมารดา บุตรที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลฝ่ายมารดา (Matrilineal family)
3. รูปแบบของครอบครัว
จากที่ได้กล่าวถึงครอบครัวนั้นมีการเปลี่ยนแปลง เป็นพลวัตดังนั้นลักษณะของครอบครัวจึงไม่เป็นเพียงการแบ่งตามสมัยเดิม รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) อ้างถึงใน Freidman (1986) ในการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวที่เป็นตัวอย่างทางซีกโลกตะวันตก ดังต่อไปนี้
3.1 รูปแบบครอบครัวเดิม ได้แก่ 1) ครอบครัวเดี่ยว (Nuclear family) เป็นครอบครัวที่คู่สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน 2) ครอบครัวคู่สามีภรรยา (Nuclear dyad) เป็นครอบครัวที่คู่สามีภรรยาอยู่ร่วมกันแต่ยังไม่มีบุตร 3) ครอบครัวที่มีบิดามารดาเลี้ยงเดี่ยว (Single-parent family) เป็นครอบครัวที่คู่สมรสหย่าหรือเป็นหม้าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลี้ยงดูบุตรอยู่คนเดียว 4) คนโสดอยู่คนเดียว (Single adult living alone) เป็นคนโสดที่ไม่ได้แต่งงาน และแยกออกจากครอบครัวเดิมอยู่เพียงลำพังคนเดียว 5) ครอบครัวขยาย (Extend family) เป็นครอบครัวที่มีสมาชิกจากด้านสามีหรือภรรยาอยู่ร่วมกัน 6) ครอบครัวคู่ชรา (Elderly or middle-aged couple) เป็นครอบครัวที่เหลือเพียงคู่สามีภรรยา บุตรได้แยกออกไปจากครอบครัวทั้งหมด และ 7) ครอบครัวเครือญาติ (Kin network) เป็นครอบครัวที่มีสมาชิกที่ยังไม่แต่งงาน อยู่ร่วมกันหรือในบริเวณที่ไม่ห่างไกลกัน มีการดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
3.2 รูปแบบที่ครอบครัวต่างจากเดิม ได้แก่ 1) ครอบครัวคอมมูน (Commune family) เป็นครอบครัวที่อยู่ร่วมกันหลาย ๆครอบครัวในครัวเรือนเดียวกัน โดยแบ่งปันแหล่งประโยชน์และใช้สิ่งของจำเป็นต่าง ๆร่วมกันในกลุ่ม รวมทั้งนำเด็ก ๆ ของครอบครัวที่อยู่รวมกันมาเลี้ยงดูร่วมกัน 2) ครอบครัวที่บิดามารดาไม่ได้สมรส (Unmarried parent(s) and Child family) เป็นครอบครัวที่บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วยเหตุใดก็ตาม ซึ่งบิดามารดาอาจจะอยู่ร่วมกันหรือแยกกันอยู่ 3) คู่อยู่ร่วมกัน (Cohabiting) ชายหญิงอยู่ร่วมกันโดยที่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะครองคู่ต่อไปในอนาคต และยังไม่ได้สมรส และ 4) คู่รักร่วมเพศ (Homosexual unions) บุคคลเพศเดียวกันอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา