แนวคิดการพยาบาลครอบครัว
Duvall
(1971) ได้อธิบายแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการของครอบครัว
ในรูปแบบวงจรชีวิตขอบครอบครัว (Family life cycle)
มีทั้งหมดมี 8 ระยะ (stages)
ระยะตั้งแต่การมีครอบครัว ในครอบครัวมีสมาชิกใหม่คือบุตร
ครอบครัวมีบุตรอยู่ในวัยก่อนเรียน ครอบครัวมีบุตรอยู่ในวัยเรียน
ครอบครัวมีบุตรอยู่ในวัยรุ่น
ครอบครัวที่มีบุตรอยู่ในวัยที่กำลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มีความพร้อมที่จะไปใช้ชีวิตได้ตามลำพัง
ครอบครัวที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่หรือวัยกลางคน
และครอบครัวในวัยผู้สูงอายุซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของวงจรชีวิต เป็นระยะของวัยเกษียณ
หรือคู่สมรสหลังจากที่มีชีวิตอยู่กันมายาวนาน หรือจากการหย่าร้าง
มีบทบาทหน้าที่เป็นผู้สูงวัย มีบุตรหลาน และอยู่ในช่วงขาลงคือต้องการการดูแล
และพบปัญหาของผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านเช่น ตาบอด
หรือนอนติดเตียงเป็นต้นโดยมีบทบาททั้งจากสามีและภรรยา คนในครอบครัว
หรือบุคลากรทางด้านสุขภาพ มาดำเนินการแก้ไขช่วยเหลือ
และเป็นงานของครอบครัวที่ต้องคอยดูแลให้ผู้สูงอายุได้รับความพึงพอใจ
วาธินี คัชมาตย์ (2543) ได้ศึกษาแนวคิดการพยาบาลครอบครัวของผู้สูงอายุที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาล และครอบครัวเป็นหน่วยสำคัญในการส่งเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยได้ดัดแปลงแนวคิดระบบสุขภาพครอบครัวของแอนเดอร์สันและทอมลินสัน (1992) จากแนวคิดนี้ได้ประเมินประสบการณ์ของครอบครัวเป็น 5 กระบวนการได้แก่
1. กระบวนการปฏิสัมพันธ์ (interactive processes) หมายถึง การติดต่อสื่อสาร สัมพันธ์ภาพในครอบครัวและแรงสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยเสริมสร้างพลังอำนาจของสมาชิกในครอบครัวให้ทำหน้าที่เป็นแหล่งประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
2. กระบวนการพัฒนาการ (developmental processes) เป็นระยะพัฒนาการของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว การเปลี่ยนผ่านของครอบครัว
3. กระบวนการเผชิญปัญหา (coping processes) เป็นการแก้ปัญหา การปรับตัวต่อภาวะเครียดและภาวะวิกฤติ และการจัดเก็บแหล่งประโยชน์
4. กระบวนการที่เป็นบูรณาการ (integrity processes) เป็นการแลกเปลี่ยนความหมายของประสบการณ์ ค่านิยม พิธีกรรม ประวัติข้อผูกพันและชื่อเสียงของครอบครัว และคงไว้ซึ่งขอบเขตของครอบครัว
5. กระบวนการด้านสุขภาพ (health processes) เป็น ความเชื่อและสภานะทางสุขภาพ การปฏิบัติและสนองตอบด้านสุขภาพและชีวิต ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การปฏิบัติตนของสมาชิกในครอบครัวด้านสุขภาพ รวมถึงการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน
ดารุณี จงอุดมการณ์ (2553) ได้นำเสนอหลักสูตรการพยาบาลครอบครัวเกิดขึ้นจากการดูแลเฉพาะบุคคลไปเป็นการดูแลทั้งครอบครัว มีคำศัพท์ทางการพยาบาลได้แก่ การพยาบาลที่ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (family-centered care) การสัมภาษณ์ครอบครัว (family interviewing) การพยาบาลเพื่อส่งเสริมสุขภาพครอบครัว (family health promotion) การพยาบาลครอบครัว (family nursing) การพยาบาลของครอบครัว (nursing of family) และการพยาบาลของระบบครอบครัว (family system nursing) โดยเน้นการบริการสุขภาพแก่ครอบครัว โดยใช้ศาสตร์ทางการพยาบาลและศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศิลปะทางการพยาบาลมาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพแก่ครอบครัว ช่วยให้ครอบครัวสามารถเผชิญกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ โดย มุ่งให้ครอบครัวสามารถดำรงภาวะสุขภาพได้อย่างเหมาะสมกับอัตภาพของครอบครัวนั้น ๆ (รุจา ภู่ไพบูลย์, 2541) จะเห็นได้ว่าบทบาทของพยาบาลที่มุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ได้แก่บทบาทในด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาเบื้องต้นและการดูแลให้การพยาบาล ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพเมื่อยามเจ็บป่วยให้กลับมาสู่สภาพเดิมหรือให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทั้งจากการพยาบาลส่วนบุคคล ครอบครัว รวมถึงในชุมชน สำหรับการพยาบาลที่เน้นครอบครัว (family-focused nursing) (Friedman, Bowden & Jones, 2003; ดารุณี จงอุดมการณ์, 2553) สามารถปฏิบัติได้หลายระดับเช่น
1) การพยาบาลที่ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (family-centered nursing) มีมุมมองที่ครอบครัวเป็นบริบท (context) ที่สำคัญของผู้รับบริการ ครอบครัวมีความหลากหลายเฉพาะตัวมีสิทธิและทางเลือกของตนเองและมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันกับบุคลากรสุขภาพ
2) การพยาบาลที่ถือว่าครอบครัวเป็นหน่วยรับบริการ ที่มีมุมมองครอบครัวทั้งระบบเป็นหน่วยบริการ ที่เรียกว่า หน่วยวิเคราะห์และรับบริการ (family as a unit of analysis and care) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นการปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวโดยใช้ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน และการปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวโดยใช้ครอบครัวในสถานบริการสุขภาพเป็นฐานปฏิบัติการ
ดังนั้นพยาบาลครอบครัว “ จึงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแล ช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาครอบครัวในทุกวงจรของครอบครัวตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งครอบครัว จนกระทั่งเข้าสู่วงจรวัยชราที่มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งปกติ ภาวะเสี่ยง และผิดปกติ ทั้งในสถานบริการ ชุมชน โดยประยุกต์ศาสตร์ทางการพยาบาลและครอบครัวและผลการวิจัยมาเป็นแนวทางในการดูแลแบบองค์รวม ในบทบาทการปฏิบัติการพยาบาล การให้ความรู้ การบริหารจัดการ การเป็นที่ปรึกษา เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวสามารถปรับตัวและคงความสมดุลของครอบครัวในการทำหน้าที่เพื่อดำรงสุขภาวะของครอบครัวรวมทั้งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ครอบครัวให้แข็งแกร่งขึ้น” (ดารุณี จงอุดมการณ์, 2553)
รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) ได้สรุปแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลครอบครัวไว้ดังนี้คือ การพยาบาลครอบครัวโดยส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ และจิตวิทยา แต่ก็พบว่ายังไม่มีทฤษฎีหรือกรอบมโนทัศน์ที่สมบูรณ์ที่สามารถนำมาใช้ศึกษาได้ และในการพัฒนาทฤษฎีทางการพยาบาลนั้น ได้นำทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ จิตวิทยา มานุษยวิทยา มาประยุกต์ใช้ในการดูแลครอบครัว ได้แก่ 1) กรอบมโนมติหลักที่ถูกระบุว่าเป็นกรอบทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษาครอบครัว เช่น ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ (Interaction theory) ทฤษฎีสถานการณ์ (Situational theory) ทฤษฎีพัฒนาการ (Developmental theory) ทฤษฎีระบบ (System theory) ทฤษฎีความขัดแย้ง (Conflict theory) และ ทฤษฎีแลกเปลี่ยน (Exchange theory) 2) ประยุกต์ใช้ในการดูแลให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัว เช่น รูปแบบการเผชิญกับภาวะวิกฤต (McCubbin และ Patterson) ทฤษฎีการพยาบาลโอเรม (Orem) ทฤษฎีการพยาบาลของนิวแมน (Neuman) ทฤษฎีการพยาบาลของคิง (King) ที่ช่วยให้พยาบาลสามารถเข้าใจความต้องการของหน่วยครอบครัว และมองเห็นความสำคัญของการดูแลครอบครัวภายใต้บริบทหรือสถานการณ์ทางการพยาบาลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จากสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้ทราบว่า ครอบครัว ยังให้การดูแล ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นสำคัญ และก็ยังพบปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของครอบครัว แนวทางแก้ปัญหาสำหรับบทบาทพยาบาลจะมีมุมมองทั้งครอบครัวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุยิ่งมีความสำคัญที่ต้องเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่สมาชิกในครอบครัวหรือผู้ดูแลต้องรู้เท่าทันกับอาการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของผู้สูงอายุ ดังนั้นพยาบาลครอบครัวที่ให้การดูแลผู้สูงอายุจะมีมุมมองตามแนวคิดการพยาบาลครอบครัวโดยมีมุมมองครอบครัวเป็น หน่วยวิเคราะห์และรับบริการ (family as a unit of analysis and care) ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่สนใจในปัญหาของผู้สูงอายุเท่านั้น พยาบาลจะต้องสนใจสมาชิกในครอบครัวที่มีผลต่อการดูแลผู้สูงอายุด้วย เมื่อมีมุมมองดังกล่าวจึงต้องสนใจในประเด็นทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย
III. แนวคิดการสนับสนุนทางสังคม แนวคิดเกี่ยวกับผู้ดูแล และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. แนวคิดการสนับสนุนทางสังคม (Social Support)
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของบริบทในสังคมไทยโดยเฉพาะโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนไปเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพังถึงแม้ว่าจะมีเพียงส่วนน้อยของประเทศแต่ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้น การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในครอบครัวก็มีบทบาทลดลง หรือแม้ว่าผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวเองก็มีความต้องการด้านสังคม โดยมีความต้องการมีส่วนร่วมกันกับเพื่อนบ้าน ชุมชนหรือบุคคลต่าง ๆในสังคม ดังนั้นแนวคิดการช่วยเหลือสนับสนุนทางสังคมหรือเพื่อน จึงมีส่วนสำคัญสำหรับผู้สูงอายุที่มีความต้องการช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือในด้านข้อมูลข่าวสารเป็นต้น มีหลายการศึกษาได้กล่าวถึงแนวคิดการสนับสนุนทาสังคมดังต่อไปนี้
Cobb (1976) จากการศึกษาเรื่องแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นเหมือนตัวกลางที่ช่วยในการประสานความเครียดในชีวิต และได้ให้ความหมายของแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นการนำของข้อมูลผ่านบุคคลหนึ่งที่มีความเชื่อว่าเขาคนนั้นสามารถให้การดูแล ให้ความรัก เห็นคุณค่า และมีกฎเกณฑ์ข้อตกลงร่วมกันกับเครือข่ายของสมาชิก และพบว่าการสนับสนุนจากสังคมสามารถปกป้องผู้ที่อยู่ในภาวะวิกฤตจากปัญหาหลายประการในชีวิต และแรงสนับสนุนทางสังคมนี้สามารถลดความต้องการทางการแพทย์ ช่วยในการฟื้นตัว และเพิ่มความสามารถในการทานยาภายใต้ข้อกำหนดต่าง ๆได้ แบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ 1) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาสามารถดูแลและให้ความรักได้ 2) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่าและ 3) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือเครือข่ายในสมาชิกนั้น ๆ
Shanas (1979) ในเรื่องครอบครัวเป็นระบบสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุ นำเสนอ ข้อค้นพบเกี่ยวกับการดูแลโดยครอบครัวสำหรับผู้สูงอายุที่มีความเจ็บป่วย โดยพบว่าครอบครัวที่เป็นครอบครัวขยาย ที่มีสามี ภรรยา และบุตร สามารถให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วย และทั้งครอบครัวและญาติพี่น้องที่อยู่ในครัวเรือน จะสามารถมาให้การช่วยเหลือได้ตามโอกาสที่เหมาะสม หากไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้หรือมีข้อจำกัดในการช่วยเหลือ ก็จะมีเพื่อนบ้าน และเจ้าหน้าที่ทางราชการทางด้านสังคมสงเคราะห์ และในส่วนที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาช่วยเหลือแทน และการสำรวจผู้สูงอายุในระดับประเทศ (ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1975) ในเรื่องการมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม สถานภาพสมรส และสัดส่วนของแหล่งช่วยเหลือ และการติดต่อกับครอบครัว ผลจากการสำรวจทำให้ทราบว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญในการให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุในลำดับแรก
Mirr (1992) ได้นำเสนอการสนับสนุนโดยครอบครัว (Family Support) โดยเป็นบทบาทอิสระของพยาบาลในการช่วยเหลือดูแลครอบครัว โดยที่ครอบครัวเป็นผู้ดูแลที่อยู่ในรูปกิจกรรมหรือวิธีการดูแลช่วยเหลือ (Intervention) ที่จัดกระทำกับความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว ความหมายของการสนับสนุนโดยครอบครัว หมายถึง การช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวโดยพยาบาล ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังไม่แพร่หลายและมีหลายความหมายที่จะให้เข้าใจตรงกัน มีเทคนิคที่ช่วยให้พยาบาลสามารถให้การดูแลผู้ป่วยและครอบครัวได้ดีขึ้นดังต่อไปนี้คือ การแนะนำตัวเองกับครอบครัวเมื่อพบกันครั้งแรก การฟังและสนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การจัดหาข้อมูลให้กับผู้ป่วยและครอบครัวให้มีความเข้าใจ มีการเข้าเยี่ยมหรือการติดต่อ การจัดสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบายเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล การส่งต่อหรือประสานงานกับทีมสุขภาพ หรือจัดหากลุ่มสนับสนุนทางสังคม
Pierce, Sarason & Sarason (1996) ได้ให้ความหมายและองค์ประกอบของการสนับสนุนทางสังคม หมายถึง โครงสร้างที่ซับซ้อนของ 3 องค์ประกอบได้แก่ 1) Support Schemata เป็นการสนับสนุนอย่างเป็นแบบแผนโดยคาดหวังทางสังคมจะช่วยเหลือจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมหรือที่จำเป็น ทั้งที่อยู่ในระยะสั้นแลระยะยาว ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งจากผู้รับและผู้ให้ 2) Supportive relationships โดยที่ความสัมพันธ์จะมีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ที่มีผลกระทบเท่านั้นเน้นความเกี่ยวข้องกันในบทบาทผู้สนับสนุนและผู้รับการสนับสนุน และ 3) Supportive transactions เป็นการแลกเปลี่ยนพฤติกรรม ระหว่างบุคคลอย่างน้อย 2 คน และต้องการการสนับสนุนอย่างเป็นจริง
Heaney & Israel (1997) ได้นำเสนอแนวคิด เครือข่ายทางสังคมและแหล่งสนับสนุนทางสังคม ในแนวคิดเครือข่ายทางสังคม (Social Network) หมายถึง ความสัมพันธ์ทางสังคมของเครือข่ายที่เน้นบุคคลเป็นศูนย์กลาง มีคุณลักษณะ 4 ประการคือ 1) Reciprocity เป็นขอบเขตของแหล่งหรือสิ่งสนับสนุนที่เป็นทั้งความสัมพันธ์การให้และการรับ 2) Intensity เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ในด้านการสนับสนุนทางด้านอารมณ์ 3) Complexity เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนหลายหน้าที่ในการสนับสนุน และ 4) Density เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ของสมาชิกที่มีปฏิสัมพันธ์ในส่วนอื่น ส่วนแรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support) หมายถึง การช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ทางสังคมและการติดต่อระหว่างบุคคล แบ่งเป็น 4 รูปแบบได้แก่ 1) Emotional support เป็นการสนับสนุนด้านอารมณ์ เน้นการเห็นอกเห็นใจ ความรัก ความไว้วางใจ และการดูแล 2) Instrument support เป็นการสนับสนุนช่วยเหลือด้านสิ่งของและการบริการให้กับบุคคลที่ต้องการการสนับสนุนทางสังคม 3) Informational support เป็นการสนับสนุนให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำและให้ข้อมูลข่าวสาร และ4) Appraisal support เป็นสนับสนุนในการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินด้วยตนเองหรือการสะท้อนความคิดของตนเอง
Hooyman & Kiyak (2009) ได้นำเสนอแนวคิดความสำคัญของการสนับสนุนหรือแรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน และชุมชน สำหรับผู้สูงอายุที่มีความโดดเดี่ยวหรือแยกจากครอบครัว สังคม จะสามารถกลับมาเข้ากับเครือข่ายทางสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal network) ในด้านการสนับสนุนด้านข้อมูล การเงิน การให้คำแนะนำ ด้านอารมณ์หรือด้านการบริการ เมื่อมองในด้านของเครือข่ายทางสังคมที่เป็นแหล่งประโยชน์และโอกาสจากครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก โดยเครือข่ายอย่างไม่เป็นทางการนี้คือแรงสนับสนุนทางสังคม เป็นได้ทั้งสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร อารมณ์ความรู้สึกหรือสิ่งของต่าง ๆในการดำรงชีวิตประจำวัน และเป็นการยากที่จะวัดแรงสนับสนุนเป็นอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนทางสังคมมีดังนี้คือ ความผาสุกในด้านร่างกาย จิตใจ (เพิ่มความชอบธรรมความดีงาม เพิ่มความเชื่อมั่น ลดภาวะซึมเศร้า) สามารถควบคุมความรู้สึกในตัวบุคคล มีอิสระและความสามารถในตัวของตัวเอง ปรับปรุงความสามารถในด้านเชาวน์ปัญญา เป็นผู้สูงอายุที่สามารถดูแลตนเองได้ (Active aging) และสามารถปรับสภาพกับการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ลดผลกระทบที่เกิดจากภาวะเครียดเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆในชีวิต และลดอุบัติการณ์การเกิดความพิการและอัตราตาย
พรทิพย์ มาลาธรรม จิราพร คงเอี่ยม และ ประคอง อินทรสมบัติ (2552) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงสนับสนุนจากครอบครัวและแรงสนับสนุนจากเพื่อนกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท โดยใช้กรอบแนวคิดแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นแนวทาในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวจำนวน 60 คู่ ที่อาศัยอยู่ในเขตชนบท จังหวัดฉะเชิงเทรา เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเลขสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วยแบบคัดกรองการรู้จำ และแบบสอบถาม ผลการศึกษา การให้แรงสนับสนุนแก่ผู้สูงอายุของครอบครัวและการรับรู้แรงสนับสนุนจากครอบครัวของผู้สูงอายุยู่ในระดับสูง ส่วนการรับรู้แรงสนับสนุนจากเพื่อนของผู้สูงอายุและความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง และยังพบว่าการรับรู้แรงสนับสนุนจากครอบครัวและจากเพื่อนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุควรได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และเครือข่ายทางสังคมเพื่อความพึงพอใจในชีวิตที่มากขึ้น
Hill, Schillo & Weinert (2004) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานต่อแรงสนับสนุนทางสังคมสำหรับสตรีที่เจ็บป่วยเรื้อรังในชนบท ซึ่งแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการกับความเจ็บป่วย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนด้านสังคม และการให้ข้อมูลด้านสุขภาพผ่านการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐาน แบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ การให้ข้อมูล และกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบ ในสตรีที่ได้รับการคัดเลือกเข้ากลุ่ม โดยมีรูปแบบเสริมแรงสนับสนุนทางสังคม ที่ไม่ได้นำมาวิเคราะห์ในประเด็นหลัก ผลการวิเคราะห์ยังมีข้อจำกัดของกลุ่มตัวอย่างที่มีแรงสนับสนุนทาสังคมต่ำ และมีความกดดันในเชิงจิตสังคมสูง ผลการศึกษาแนะนำว่าควรจะเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างนี้ ผลการศึกษาพบว่ามีประสิทธิผลในการเสริมแรงสนับสนุนทางสังคมและเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือในกลุ่มที่สนับสนุน การศึกษาแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มการรับรู้จากการเสริมแรงสนับสนุนทางสังคม
2. แนวคิดเกี่ยวกับผู้ดูแล (Caregiver)
ยุพาพิน ศิรโพธิ์งาม (2539) ได้นำเสนอญาติผู้ดูแลที่บ้านที่มีความสำคัญและเป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ทีมสุขภาพให้ความสนใจ ซึ่งญาติผู้ดูแลที่บ้านนั้นต้องตอบสนองความต้องการการดูแลที่เกิดขึ้นจากภาวะบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ของผู้ป่วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีทั้งด้านลบและด้านบวก ได้แก่ความเครียด และการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วนั้นมีผลต่อเนื่องกับภาวะสุขภาพของผู้ดูแล โดยให้ความหมายของญาติผู้ดูแลที่บ้าน (Family Caregiver หรือ Informal Caregiver)
ศิริพันธุ์ สาสัตย์ และ เตือนใจ ภักดีพรหม (2551) ได้แบ่งผู้ดูแลออกเป็นผู้ดูแลที่เป็นทางการ (formal caregiver) และ ผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการ (informal caregiver) ในด้านผู้ดูแลที่เป็นทางการเป็นกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นวิชาชีพ จากสถานบริการพยาบาล หรือ กลุ่ม องค์กร ที่เคยผ่านการฝึกอบรมมาก่อนและได้รับเงินเป็นการตอบแทน ซึ่งอาจเป็น แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผู้ช่วยดูแลจากศูนย์ที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ส่วนในด้านผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการ เป็นกลุ่มผู้ที่ให้การช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวันต่างๆ แก่ผู้ป่วยโดยที่ไม่เคยผ่านการฝึกอบรมมาก่อน การดูแลอาจยาวนานถึง 24 ชั่วโมงต่อ ไม่ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน แต่เป็นการดูแลที่มาจากความรัก ความสำนึกในบุญคุณหรือหน้าที่ แรงจูงใจที่ให้การดูแลอาจจะมาจากความสัมพันธ์ทางการสมรส หรือจากครอบครัว เช่น คู่สมรส ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือเพื่อนบ้านของผู้ป่วย จากการศึกษาพบว่าผู้ดูแลส่วนใหญ่จะเป็นสามีหรือภรรยาของผู้ป่วยและมักสูงอายุด้วยกันทั้งคู่
ศิริพันธุ์ สาสัตย์ (2549) ได้อธิบายความแตกต่างของกลุ่มผู้ดูแลแบบไม่เป็นทางการตามลักษณะความสัมพันธ์กับผู้ป่วยและปริมาณการช่วยเหลือที่ให้ ดังนี้คือ
1. แบ่งตามลักษณะความสัมพันธ์กับผู้ป่วย
1) ผู้ดูแลที่เป็นญาติ หรือญาติผู้ดูแล คือ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยอยู่ที่บ้านที่เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการที่พบได้บ่อยมากที่สุดในสังคมไทย ทั้งนี้ในกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นญาตินี้อาจประกอบไปด้วยผู้ดูแลหลักและผู้ดูแลรอง เช่น สมาชิกในครอบครัวบางคนรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในด้านกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมในการดูแลโดยตรงที่บ้าน บางคนรับผิดชอบดูแลทางด้านการเงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดูแล บางคนรับผิดชอบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เนื่องจากมีความคล่องตัวในการติดต่อประสานงานสูง เป็นต้น
2) ผู้ให้การช่วยเหลือไม่เป็นทางการ คือ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยที่มาจากเครือญาติอื่น ๆ เพื่อน หรือเพื่อนบ้าน ที่ให้การช่วยเหลืองานบ้านหรือกิจวัตรประจำวันโดยไม่คิดค่าตอบแทน ทั้งนี้อาจเป็นการให้การช่วยเหลือด้วยความรัก ความผูกพัน หรือเป็นการตอบแทนคุณความดีที่ผู้ป่วยเคยมีให้แก่ผู้ดูแลประเภทนี้มาก่อนในอดีต
2. แบ่งตามปริมาณการช่วยเหลือ
1) ผู้ดูแลหลัก (Primary caregiver) คือบุคคลที่ผู้ได้รับการดูแลระบุว่าเป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลในระยะเวลาเจ็บป่วย หรืออาจเป็นผู้ที่ให้เวลาในการดูแลคิดเป็นจำนวนชั่วโมงต่อวันสูงสุด ทำหน้าที่ดูแลปฏิบัติกิจกรรมต่อผู้ป่วยโดยตรง เช่น การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล ป้อนอาหารหรือให้อาหาร ดูแลเรื่องการรับประทานยา ทำความสะอาดแผล และช่วยเหลือในการขับถ่าย เป็นต้น ผู้ดูแลหลักนี้จะเป็นผู้ที่เผชิญกับภาวะเครียดสูงสุด นอกจากนี้ผู้ที่ให้การดูแลผู้ป่วยด้วยโรคหรือมีปัญหาสุขภาพต่างกันจะมีระดับความเครียดจากการดูแลแตกต่างกัน
2) ผู้ดูแลรอง (Secondary caregiver) หมายถึงบุคคลอื่นที่อยู่ในเครือข่ายของการดูแล มีหน้าที่จัดการด้านอื่น ซึ่งไม่ใช่การกระทำต่อตัวผู้ป่วย กิจกรรมการช่วยเหลือที่ให้อาจเป็นครั้งคราว หรือมีระยะเวลาในการดูแลช่วยเหลือน้อยกว่าผู้ดูแลหลัก
ขนิษฐา นันทบุตร (2551) ได้สังเคราะห์กรณีศึกษาจากผู้ดูแล 5 ภาคทั่วประเทศในสถานการณ์การทำงานของผู้ดูแลเพื่อการพัฒนาระบบการทำงานของผู้ดูแลในประเด็นสำคัญต่อไปนี้คือ
1) ลักษณะของผู้ต้องการความช่วยเหลือ แบ่งตามความสามารถในการช่วยเหลือ คือ ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้บ้าง และ ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยหรือไม่ได้ โดยนอนติดกับเตียงเป็นส่วนใหญ่ แบ่งตามความเจ็บป่วยคือ ผู้ป่วยตามระดับความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตนเองได้ที่มีอาการในระยะฉุกเฉินหรือวิกฤติ และ ผู้ป่วยในระยะเรื้อรังควบคุมได้ และตามบริบทสถานที่ในการให้การดูแล เช่น ผู้ที่อยู่ที่บ้าน อยู่ที่สถานสงเคราะห์ ได้แก่ บ้านพักคนชรา สถานสงเคราะห์คนชรา
2) ลักษณะกิจกรรมการช่วยเหลือ ได้แก่ กิจกรรมการช่วยเหลือเบื้องต้นซึ่งอาจมีความซับซ้อนของการทำน้อยที่สุด เช่นการทำความสะอาดร่างกาย ดูแลช่วยจัดหาอาหารและน้ำ การจัดยา ดูแลการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระช่วยพลิกตะแคงตัวเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ การพูดคุยให้กำลังใจการพยุงและช่วยจับเวลานั่ง ยืน เดิน เป็นต้นกิจกรรมการช่วยเหลือดูแลขั้นสูง ที่ต้องได้รับยาตามเวลา เฝ้าระวังอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การดูแลเพื่อให้เกิดความสุขสบาย การเคลื่อนย้ายที่ถูกต้อง แลการให้คำปรึกษาครอบครัว และการช่วยเหลือดูแลพิเศษหรือเฉพาะ เช่น การตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด การฉีดยาอินซูลิน การเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับโรค การเปลี่ยนน้ำยาล้างไตทางหน้าท้องและพาไปตรวจ/ฟอกไตตามนัดที่โรงพยาบาล การหยอดตา การฝึกพูด การฝึกกลืน การฝึกเดิน การฝึกหายใจ เป็นต้น
3) คุณสมบัติของผู้ดูแล แบ่งประเภทผู้ดูแล ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ผู้ดูแลในครอบครัวและเครือญาติ ผู้ช่วยเหลือดูแลในชุมชนหรืออาสาสมัครชุมชน และผู้ช่วยเหลือหรือผู้ดูแลอาชีพ ทั้ง 3 ประเภทเกิดขึ้นในบริบททางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 5 องค์ประกอบคือ การฝึกอบรมการดูแล ประสบการณ์การทำงาน ทักษะการดูแล ความผูกพันกับระบบการดูแล ระบบการทำงาน
4) ระบบการเตรียมผู้ดูแลทั้งการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมจากประสบการณ์ แบ่งเป็นการอบรมและเรียนรู้เพื่อเตรียมเป็นผู้ช่วยเหลือดูแล และการบ่มเพาะประสบการณ์และพัฒนาทักษะเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะและความสามารถในการดูแล หรือ ที่เรียกว่า เพิ่มขั้นความสามารถจากทักษะขั้นพื้นฐาน ขั้นสูงและขั้นพิเศษ
5) ระบบการพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลและการรับรองคุณภาพการบริการของผู้ดูแล ได้ตั้งแต่ ที่บ้านของผู้ต้องการความช่วยเหลือ/ดูแล ที่ศูนย์ หรือ หน่วยบริการช่วยเหลือ/ดูแล และ ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้การฝึกฝนทักษะจากประสบการณ์การทำงานจริงถือเป็นปัจจัยสำคัญ โดยการฝึกทักษะด้วยตนเองอาจมีข้อจำกัดมากกว่าการฝึกทักษะและวิธีการทำงานร่วมกับผู้มีประสบการณ์สูงกว่า การมีกลุ่มผู้ช่วยเหลือ/ดูแลเพื่อช่วยเหลือกัน ร่วมทีมกันรับงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ก็มีส่วนเพิ่มพูนทักษะได้ ในด้านการรับรองคุณภาพเท่าที่ผ่านมายังไม่มีข้อมูลแสดงชัดเจน
6) ปัจจัย/เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของผู้ดูแลและการจัดการการดูแล รวมถึงการทำงานของผู้ดูแล ตามบริบทการดูแลที่ต่างกัน การเตรียมตัวเป็นผู้ช่วยเหลือ/ดูแล การรับงานดูแลผู้ป่วย/ผู้สูงอายุหลายลักษณะและปัญหาที่ต้องช่วยเหลือแก้ไข การบ่มเพาะประสบการณ์จากการช่วยเหลือ/ดูแลที่อาศัยทักษะหลายระดับ การได้รับการสอน ฝึกฝน และ ชี้แนะการแก้ปัญหารายวันของผู้ช่วยเหลือ/ดูแลจากผู้รู้ในระหว่างการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องบริบทการทำงานมีความปลอดภัย
3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ
จากการทบทวนวรรณกรรมมีความครอบคลุมในประเด็นของครอบครัวที่ให้การดูแลผู้สูงอายุซึ่งมีความหลากหลายมิติต่าง ๆดังต่อไปนี้
อาพร สุขสวัสดิ์ (2534) ได้ศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างสมาชิกครอบครัว (บุตร) กับผู้สูงอายุ และบทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอพระนครศรีอยุธยา ที่มีบทบาทด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุตร บุตรบุญธรรม บุตรเขย หรือบุตรสะใภ้ เลือกมาครอบครัวละ1 คน อยู่ในเขตเทศบาล 198 คน ในเขตเทศบาล 198 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ผลการศึกษา 1) ลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นไปในทางที่ดีต่อกัน มีการช่วยเหลือเอาใจใส่เกื้อกูลกัน ส่วนใหญ่สามัคคี รักใคร่ปรองดองกัน มีความขัดแย้งกับบ้างนาน ๆ ครั้ง ส่วนใหญ่บุตรยังคงให้ความสำคัญ ยอมรับและขอคำปรึกษาจากผู้สูงอายุ 2) ในด้านบทบาทของครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจะมีบทบาทการดูแลผู้สูงอายุด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจและสังคมได้มาก ในเขตเทศบาลจะให้การดูแลในด้านนี้น้อยกว่านอกเขตเทศบาล และด้านเศรษฐกิจทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลจะให้การดูแลน้อย
สุจิตรา นิลเลิศ (2539) ได้ศึกษาคุณภาพชีวิตของการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตรในชนบท จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจัยส่วนบุคคล ของผู้สูงอายุและบุตร ระดับคุณภาพของการได้รับการอุปถัมภ์ ระดับคุณภาพชีวิต จำนวน 404 คน ใน 16 หมู่บ้าน 16 ตำบลของทุกอำเภอ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสัมภาษณ์และแบบวัด และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่อยู่ในเกณฑ์ระดับสูงและระดับต่ำประเภทละ 5 คนตามแนวคำถามแบบมีโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า สุขภาพอนามัยมีความสัมพันธ์กันกับการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตร ฐานะทางเศรษฐกิจของบุตรมีความสัมพันธ์กันกับการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตร ระดับของคุณภาชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระดับปานกลาง และการได้รับการอุปถัมภ์จากบุตรมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และตัวแปรที่สามารถอธิบายความแปรปรวนของคะแนนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 45.1)ได้แก่ การให้ความเคารพยกย่อง การสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน รายได้ การยอมรับความคิดเห็นของผู้สูงอายุ การยอมรับและให้อภัยเมื่อผู้สูงอายุทำผิดพลาด การให้เวลาและเอาใจใส่พูดคุยด้วย
ชลลดา ภักดีประพฤกษ์ (2541) ได้ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางครอบครัวกับการได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าวข้างต้น ทำการศึกษาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยสำรวจผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จำนวน 168 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม 3 ขั้นตอน และการศึกษาเชิงคุณภาพกับผู้สูงอายุจำนวน 9 คน ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุในระดับปานกลาง ส่วนด้านร่างกาย และความสำเร็จสมหวังในชีวิตอยู่ในระดับมาก ด้านความรักอยู่ในระดับมากและน้อยใกล้เคียงกัน ความมั่นคงปลอดภัยอยู่ในระดับปานกลาง ความยอมรับนับถืออยู่ในระดับน้อย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานคือ รายได้ บุตรความพอเพียง ภาวะสุขภาพ ความพอเพียงของรายได้ครอบครัว และสัมพันธภาพของครอบครัว ในด้านข้อมูลเชิงคุณภาพ มีปัจจัยคือ การทำกิจกรรมของผู้สูงอายุ อุปนิสัยของผู้สูงอายุ และรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรของผู้สูงอายุ
มาลินี วงษ์สิทธิ์ และ ศิริวรรณ ศิริบุญ (2541) ได้ศึกษาครอบครัวและผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างประเทศต่าง ๆ 7ประเทศในโครงการวิจัยเรื่อง The Implications of Asia’s Population Future for the Family and the Elderly โดยการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุจำนวน 408 รายและผู้ดูแลจำนวน 82 ราย ผลการศึกษามีประเด็นสำคัญคือ องค์ประกอบของครัวเรือนอยู่ในครัวเรือนขยาย สถานภาพสมรสในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสัดส่วนคู่สมรสเป็นหม้ายสูงสุด ส่วนในกรุงเทพมหานครมีคู่สมรส จบการศึกษาระดับประถมศึกษา บทบาทและสถานภาพในครัวเรือนผู้ชายจะเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายและดูแลทรัพย์สินและมีสัดส่วนในการตัดสินใจมากกว่า ส่วนผู้หญิงทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน อาชีพโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน หรือมีความต้องการการทำงานแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง และผู้สูงอายุที่มีอายุมากจะมีรายได้น้อยกว่าผู้สูงอายุที่อายุน้อย และมีปัญหาการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันมากกว่าผู้สูงอายุที่อายุน้อยกว่า ภาวะสุขภาพคู่สมรมชายมีสุขภาพค่อนข้างแย่กว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุพอใจการความเป็นส่วนตัวในที่พักอาศัยมากที่สุด และรูปแบบการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดคือการอยู่กับบุตร สำหรับในชนบทมีการติดต่อกับญาติทุกประเภทบ่อยครั้งกว่าผู้สูงอายุในเมือง โดยการเยี่ยมเยียน ขณะที่ในเมืองใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ ในด้านทัศนคติของผู้สูงอายุสะท้อนว่าสถานะของผู้สูงอายุด้อยลง ในด้านผู้ดูแลผู้สูงอายุในชนบทมักจะเป็นหลาน และมีระยะเวลาในการดูแลนานกว่าในเมือง และบทบาทของผู้ดูแลคือช่วยในการเตรียมอาหาร ทำความสะอาดบ้าน พาไปพบแพทย์ ปัญหาความต้องการของผู้ดูแลคือด้านการเงิน และหากผู้ดูแลดูแลร่วมกันกับบุคคลอื่นจะประสบปัญหาด้านอารมณ์จิตใจในระดับสูงกว่าผู้ดูแลตามลำพัง
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร เล็ก สมบัติ และ ระพีพรรณ คำหอม (2541) ได้ศึกษาภาวะการดูแลและสภาพปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว ศักยภาพของครอบครัวต่อการเกื้อหนุนผู้สูงอายุ และปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้ศักยภาพของครอบครัวเข้มแข็ง ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถาม จำนวน 700 รายในเขตกรุงเพทมหานครและปริมณฑล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่ทำงานในหน่วยงายภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและกลุ่มอาชีพต่างๆ ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ประชากรส่วนใหญ่มีสถานภาพเป็นบุตรของผู้สูงอายุ เป็นเพศหญิง สถานภาพสมรสแล้ว อายุระหว่าง 31-40 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้อยู่ระหว่าง 10,001-20,000 บาท ส่วนใหญ่มีผู้สูงอายุอยู่ในความดูแล 1 คน และเป็นผู้สูงอายุอยู่ระหว่าง 61-70 ปี บทบาทของครอบครัวคือตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย ปัจจัยสี่ และตอบสนองหน้าที่ด้านเศรษฐกิจ สังคม อารมณ์ จิตใจของผู้สูงอายุ ปัญหาที่ได้รับการดูแลอยู่ในระดับน้อยมาก ปัจจัยสำคัญที่เป็นพื้นฐานที่ทำให้ครอบครัวมีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ 2 ประการคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม และครอบครัวยังมีความต้องการบริการทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ และด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พัชรินทร์ คำอินทร์ (2548) ได้ศึกษาความหมายการได้รับการดูแลโดยผู้ดูแลในครอบครัว จากมุมมองของผู้สูงอายุ และศึกษาประสบการณ์การได้รับการดูแลโดยครอบครัวของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาที่บ้าน ใช้รูปแบบการศึกษาตามแนวคิดปรากฏการณ์วิทยาแบบวิธี Husserl จำนวน 12 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการบันทึกเทป วิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการของโคไลซี่ ผลการศึกษา สรุปได้ว่า ความหมายการได้รับการดูแลโดยผู้ดูแลในครอบครัว จากมุมมองของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาที่บ้าน 4 ประเด็นคือ การปฏิบัติดูแลด้วยความเข้าใจผู้สูงอายุ การปฏิบัติดูแลด้วยความเต็มใจ การปฏิบัติดูแลด้วยการพูดที่ดี และการปฏิบัติดูแลด้วยความเคารพรักและผูกพัน ในด้านผู้ดูแลในครอบครัว สรุปได้ 4 ประเด็นคือ อารมณ์ในสภาพการพึ่งพา การรับรู้ว่าต้องพึ่งพาการดูแล กาปรับตัว และ การับรู้คุณค่าการดูแล
เล็ก สมบัติ (2549) ทำการศึกษาวิจัยเรื่องโครงการภาวะการดูแลผู้สูงอายุและครอบครัวในปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง บทบาทและความสามารถ ตลอดจน ปัญหาและความต้องการของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบสอบถามสมาชิกในครอบครัวจาก 16 จังหวัด จำนวน 1,600 คน และ Focus Group สมาชิกในครอบครัว 3 รอบ 32 หมู่บ้าน 320 คน ผู้สูงอายุในครอบครัวชุมชน 7 ราย รวม 224 คน และ ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเรื้อรังและนอนติดเตียงจำนวน 40 คน การศึกษาในครั้งนี้แบบ Mixed Method ทั้ง Descriptive study และ Qualitative study ผลการศึกษามีดังนี้คือ 1) ปัจจัยภายใน คือสัมพันธภาพครอบครัวในระดับที่ดี การเชื่อฟังมีเหตุผลและการเอาใจใส่ความรัก ส่วนปัจจัยภายนอกมีภาพรวมอยู่ในระดับที่ไม่ดี มีระดับการได้รับและไม่ได้รับการบริการที่ใกล้เคียงกัน บริการที่ครอบคลุมมากที่สุดคือ บริการด้านสุขภาพ ส่วนบริการที่ได้รับน้อยที่สุดคือบริการด้านสังคม ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพ การเยี่ยมเยียนโดยอาสาสมัคร และการสังเคราะห์ต่างๆ 2) ปัจจัยพื้นฐานของสมาชิกในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับปัจจัยภายในและภายนอก และ 3) การสนทนากลุ่มสรุปได้ว่าครอบครัวส่วนมากมีความสามารถในการดูแลผู้สูงอายุลักษณะการดูแลจะมีการกำหนดผู้ดูแลหลัก ทำหน้าที่ด้านอาหาร การกินยา ความสะอาดและสุขภาพโดยรวม สมาชิกคนอื่นๆ ให้การสนับสนุนด้านเงินทอง เสื้อผ้า ของใช้ที่จำเป็นปัญหาที่พบในการดูแลคือ สุขภาพกายและจิต การเงิน
นารีรัตน์ เชื้อสูงเนิน (2550) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพ การปฏิบัติกิจกรรม การสนับสนุนจากครอบครัวกับความผาสุกทางใจของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพ แบบสอบถามการปฏิบัติกิจกรรม แบบสอบถามการสนับสนุนจากผู้สูงอายุครอบครัว และแบบสอบถามความผาสุกทางใจ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผลการศึกษาพบว่า ความผาสุกทางใจของผู้สูงอายุที่เข้าชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับสูง การรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่เข้าร่วมชมรมอยู่ในระดับดีและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ การปฏิบัติกิจกรรมอยู่ในระดับมากและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ และการสนับสนุนจากครอบครัวของผู้สูงอายุที่เข้าร่วมชมรมอยู่ในระดับสูงและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ และนำความรู้ที่ได้ไปเป็นแนวทางในการดูแลเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยเฉพาะด้านจิตสังคมแก่ผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชน
พูนสุข เวชวิฐาน (2551) ได้ศึกษาการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย มุมมองจากผู้สูงอายุและลูกวัยผู้ใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย ประยุกต์แนวคิดการต่างตอบแทนจากทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 50 ครอบครัว ทั้งผู้สูงอายุและบุตรวัยผู้ใหญ่ กลุ่มละ 50 คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการจดบันทึกและถอดเทป และนำมาวิเคราะห์หาประเด็นที่สะท้อนถึงการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย ผลการศึกษามีประเด็นสำคัญได้แก่ 1) ผู้สูงอายุสะท้อนบทบาทของตนเองในการช่วยเหลืองานบ้าน 2) ผู้สูงอายุสะท้อนคุณค่าของตนที่มีต่อสมาชิกครอบครัวและความคาดหวังในอนาคต 3) การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุเป็นการตอบแทนบุญคุณ และ 4) การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุเป็นผลจากการเป็นต้นแบบที่ดีและจากคำสอนทางศาสนา
นารีรัตน์ จิตรมนตรี วิไลวรรณ ทองเจริญ และ สาวิตรี ทยานศิลป์ (2552) ทำการศึกษาวิจัยเรื่องตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนเขตเมืองและกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนรูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุของครอบครัวที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการดูแลที่ดี ศึกษารูปแบบและถอดบทเรียนการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุของชุมชนที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการจัดการที่ดี และศึกษารูปแบบและถอดบทเรียนกลวิธีการจัดการในครอบครัวและชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแนวคำถามสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ และปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตรวจสอบความตรงของเนื้อหา นำไปทดลองใช้และปรับแก้ไขตามความเหมาะสม ดังนี้ แนวคำถามในการสัมภาษณ์ระดับลึก สำหรับผู้ให้ข้อมูลกับชุมชนก่อนการเลือกชุมชนและครอบครัว 6 ข้อ และการอภิปรายกลุ่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนจำนวน 11 ข้อ ผู้ดูแล 18 ข้อ ผู้สูงอายุ 4 ข้อ ดำเนินการ ค้นหาตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนเขตเมือง (นครราชสีมา และ กทม.) สัมภาษณ์ระดับลึกผู้สูงอายุและผู้ดูแลหลัก รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและในชุมชน สนทนากลุ่ม กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุรวบรวมเอกสารและข้อมูลที่สังเกตพบเกี่ยวกับบริบทของการดูแลผู้สูงอายุที่ดี ทำการศึกษาผู้สูงอายุที่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิงระดับ 3 และ 4 ในชุมชนล็อค 4-5-6 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และชุมชน 30 กันยาพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เลือกชุมชนละ 2 ครอบครัว ผลการวิเคราะห์มีดังนี้คือ 1) ได้ตัวชี้วัดการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของชุมชนได้แก่ การมีชุมชนเข้มแข็ง การมีระบบสนับสนุนที่ดีทั้งที่เป็นทาการและไม่เป็นทางการ การมีทุนทางสังคม การตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ การบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการบทบาทชุมชน และการมีฐานข้อมูลผู้สูงอายุในชุมชน 2) ได้ตัวชี้วัดการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวได้แก่ การคัดเลือกผู้ดูแลหลักในครอบครัวที่มีความพร้อม การดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ การรักษาความสะอาดของร่างกาย การดูแลการขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจาก แผลกดทับ ปอดอักเสบ การสำลักอาหาร การป้องกันความรู้สึกเสียใจ และสร้างความสุข การสร้างความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ การส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ การดูแลสุขภาวะทางจิตวิญญาณ 3) การดูแลบนพื้นฐานของความรัก ความห่วงใย ความกตัญญู และความรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลหลัก 4) การรักษาและควบคุมโรคเรื้อรัง การดูแลให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่อง การดูแลจัดอาหารเฉพาะโรค 5) การจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย และอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการดูแล 6) การที่ผู้ดูแลหลักมอบความไว้วางใจให้ผู้ดูแลรับจ้าง และ7) การได้รับการสนับสนุนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จากรัฐ เอกชน อาสาสมัคร
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร และคณะ(2552) ทำการศึกษาตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนชนบทไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและถอดตัวแบบเกี่ยวกับการจัดบริการและกลวิธีการจัดการสำหรับผู้สูงอายุของครอบครัว ชุมชน ที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการดูแลที่ดี ทำการศึกษาร่วมกันกับพยาบาลชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) ที่ทำหน้าที่ประสานงานและสนทนากลุ่มการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนตามแนวคำถามการถอดตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการศึกษาเฉพาะกรณีศึกษา และเชิงพรรณนา ด้วยเทคนิคการบรรยาย กลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะพึ่งพาระดับ 3 และ 4 จำนวน 8 ราย ในจังหวัดเชียงราย ขอนแก่น สมุทรสาคร และนครศรีธรรมราช ผู้สูงอายุที่ศึกษาเพศหญิง 6 ราย เพศชาย 2 ราย ทุกรายมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังและพึ่งตนเองได้ในระดับน้อยไปจนถึงพึ่งพาตนเองไม่ได้เลย มีบุตรเป็นผู้ดูแลหลัก ผลการศึกษาคือวิธีการและเทคนิคการดูแลที่ดีประกอบไปด้วยตัวชี้วัด 9 ประการ ได้แก่ การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล การจัดการเรื่องยา การช่วยเหลือในการเคลื่อนไหว การดูแลแผลกดทับ การจัดหาอาหารที่เหมาะสม การป้อนอาหาร การดูแลการขับถ่าย การสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ และการดูแลด้านจิตวิญญาณ และชุมชนที่มีการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุที่ดี ประกอบด้วยตัวชี้วัด 7 ประการ ได้แก่ การมีระบบดูแลอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การมีทีมงานที่เข้มแข็ง การใช้ทุนทางสังคมให้เป็นประโยชน์ การแก้ไขปัญหาโดยสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชน การมีฐานข้อมูลผู้สูงอายุที่สมบูรณ์ และการมีระบบการประเมินบริการ
สิรินทร ฉันศิริกาณจน (2552) ผู้แต่งหนังสือคู่มือดูแลพ่อแม่ เนื้อหาได้เสนอแนะและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่สามารถให้บุตรหลานช่วยกันดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพที่ดี และเหมาะสมตั้งแต่การประเมินสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง การป้องกันการเกิดปัญหาเช่น อาการเจ็บป่วยทั่วไป การรับประทานอาหาร การรับประทานยา การตรวจสุขภาพและการจัดบ้านและการดูแลจนถึงวาระสุดท้ายของผู้สูงอายุ โดยเน้นที่ปัญหาสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกหลาน และให้แง่คิดในการเห็นคุณค่าของพ่อแม่และการตอบแทนพระคุณด้วยการดูแลที่เป็นการแสดงความมีกตัญญูต่อพ่อแม่ ที่ทำให้ลูกหลานได้เข้าใจ ตระหนักถึงการปฏิบัติใดูแลพ่อแม่ได้อย่างเหมาะสม
สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบันยังมีหลายครอบครัวเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้เองจึงต้องการการดูแลจากผู้ดูแลที่ไม่ใช่บุคคลในครอบครัวซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ได้รับการว่าจ้าง ชมนาด พจนามาตร์ และคณะ (2551) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ระบบการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้พิการโดยผู้ดูแล กรณีศึกษาภาคเหนือ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การทำงานของผู้ดูแล ลักษณะของผู้ต้องการการดูแลในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการ และลักษณะความต้องการการดูแล โดยให้ความหมายของผู้ดูแลหมายถึงผู้ที่ได้รับการว่าจ้าง ให้เป็นผู้ช่วยเหลือหลักแก่ผู้ป่วยหรือผู้ต้องการการปฏิบัติกิจกรรมเช่น การอาบน้ำ การทำความสะอาด การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล การดูแลเรื่องอาหาร การขับถ่าย เป็นต้นโดยให้เวลาในการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาได้แก่ 1) ความต้องการการดูแลขึ้นอยู่กับ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ระดับความรุนแรง ระดับความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรังและลักษณะครอบครัวเช่นครอบครัวขยาย ญาติพี่น้องจะเป็นผู้ให้การช่วยเหลือดูแลมากกว่า 2) สถานการณ์การทำงานของผู้ดูแล ส่วนใหญ่จะเน้นการดูแลกิจวัตรประจำวัน ซึ่งผู้ดูแลที่ได้รับการอบรมจากหลักสูตรการอบรม 6 เดือนจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่สำเร็จการศึกษาระดับผู้ช่วยพยาบาล ผ่านการอบรมระยะสั้น หรือผู้ดูแลที่เป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ และไม่ได้รับการอบรมใด ๆ แต่เรียนรู้จากประสบการณ์ในการดูแล การสอนของญาติหรือการสอนจากบุคลากรพยาบาลเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล 3) ระบบการติดตามการทำงานของผู้ดูแล ขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่จะต้องควบคุมด้วยตนเอง มีบางพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพจะติดตามเยี่ยมผู้ป่วย 4) คุณสมบัติของผู้ดูแล คือมีความอดทน มีกิริยาสุภาพและต้องการผู้ที่มีความรู้ในการดูแล โดยมีข้อเสนอแนะว่าหน่วยงานของรัฐควรจะช่วยเหลือในการจัดอบรมให้ความรู้ และ 5) เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของผู้ดูแล คือระยะเวลาการดูแลในแต่ละวันที่ต้องมีเวลาส่วนตัวและมีเวลาพักผ่อน ความเข้าใจของสมาชิกในครอบครัวต่อการดูแล การสนับสนุนความก้าวหน้าของผู้ดูแล ความเป็นอิสระส่วนตัว การมีสมาชิกในครอบครัวร่วมดูแลด้วยและ การมีส่วนร่วมในการให้ดูแลของหน่วยงานด้านสุขภาพ
จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุ ครอบครัว ชุมชน และสังคมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันจากแนวคิดเครือข่ายทางสังคมและแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีผลโดยตรงและมีความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุโดยครอบครัว เมื่อศึกษาถึงครอบครัวที่เป็นผู้ดูแล พบว่าในการติดตามการดูแล ยังมีความไม่ชัดเจนนักในการส่งเสริมการดูแลให้มีศักยภาพ ดังจะเห็นได้จากเอกสารที่ได้ทบทวนเกี่ยวกับผู้ดูมีแต่การฝึกอบรมเป็นเวลา 6 เดือนจากนั้นใครจะเป็นผู้ประเมินติดตามในคุณภาพการดูแล และจะทราบได้อย่างไรว่าผู้ดูแลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวนั้นมีความมั่นใจในความสามารถในการดูแลของตนเองเป็นอย่างไร ดังนั้นแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจและการเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัวที่จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นและความสามารถของผู้ดูแลได้
วาธินี คัชมาตย์ (2543) ได้ศึกษาแนวคิดการพยาบาลครอบครัวของผู้สูงอายุที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาล และครอบครัวเป็นหน่วยสำคัญในการส่งเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยได้ดัดแปลงแนวคิดระบบสุขภาพครอบครัวของแอนเดอร์สันและทอมลินสัน (1992) จากแนวคิดนี้ได้ประเมินประสบการณ์ของครอบครัวเป็น 5 กระบวนการได้แก่
1. กระบวนการปฏิสัมพันธ์ (interactive processes) หมายถึง การติดต่อสื่อสาร สัมพันธ์ภาพในครอบครัวและแรงสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยเสริมสร้างพลังอำนาจของสมาชิกในครอบครัวให้ทำหน้าที่เป็นแหล่งประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
2. กระบวนการพัฒนาการ (developmental processes) เป็นระยะพัฒนาการของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว การเปลี่ยนผ่านของครอบครัว
3. กระบวนการเผชิญปัญหา (coping processes) เป็นการแก้ปัญหา การปรับตัวต่อภาวะเครียดและภาวะวิกฤติ และการจัดเก็บแหล่งประโยชน์
4. กระบวนการที่เป็นบูรณาการ (integrity processes) เป็นการแลกเปลี่ยนความหมายของประสบการณ์ ค่านิยม พิธีกรรม ประวัติข้อผูกพันและชื่อเสียงของครอบครัว และคงไว้ซึ่งขอบเขตของครอบครัว
5. กระบวนการด้านสุขภาพ (health processes) เป็น ความเชื่อและสภานะทางสุขภาพ การปฏิบัติและสนองตอบด้านสุขภาพและชีวิต ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การปฏิบัติตนของสมาชิกในครอบครัวด้านสุขภาพ รวมถึงการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน
ดารุณี จงอุดมการณ์ (2553) ได้นำเสนอหลักสูตรการพยาบาลครอบครัวเกิดขึ้นจากการดูแลเฉพาะบุคคลไปเป็นการดูแลทั้งครอบครัว มีคำศัพท์ทางการพยาบาลได้แก่ การพยาบาลที่ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (family-centered care) การสัมภาษณ์ครอบครัว (family interviewing) การพยาบาลเพื่อส่งเสริมสุขภาพครอบครัว (family health promotion) การพยาบาลครอบครัว (family nursing) การพยาบาลของครอบครัว (nursing of family) และการพยาบาลของระบบครอบครัว (family system nursing) โดยเน้นการบริการสุขภาพแก่ครอบครัว โดยใช้ศาสตร์ทางการพยาบาลและศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศิลปะทางการพยาบาลมาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพแก่ครอบครัว ช่วยให้ครอบครัวสามารถเผชิญกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ โดย มุ่งให้ครอบครัวสามารถดำรงภาวะสุขภาพได้อย่างเหมาะสมกับอัตภาพของครอบครัวนั้น ๆ (รุจา ภู่ไพบูลย์, 2541) จะเห็นได้ว่าบทบาทของพยาบาลที่มุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ได้แก่บทบาทในด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาเบื้องต้นและการดูแลให้การพยาบาล ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพเมื่อยามเจ็บป่วยให้กลับมาสู่สภาพเดิมหรือให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขหรือมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทั้งจากการพยาบาลส่วนบุคคล ครอบครัว รวมถึงในชุมชน สำหรับการพยาบาลที่เน้นครอบครัว (family-focused nursing) (Friedman, Bowden & Jones, 2003; ดารุณี จงอุดมการณ์, 2553) สามารถปฏิบัติได้หลายระดับเช่น
1) การพยาบาลที่ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (family-centered nursing) มีมุมมองที่ครอบครัวเป็นบริบท (context) ที่สำคัญของผู้รับบริการ ครอบครัวมีความหลากหลายเฉพาะตัวมีสิทธิและทางเลือกของตนเองและมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันกับบุคลากรสุขภาพ
2) การพยาบาลที่ถือว่าครอบครัวเป็นหน่วยรับบริการ ที่มีมุมมองครอบครัวทั้งระบบเป็นหน่วยบริการ ที่เรียกว่า หน่วยวิเคราะห์และรับบริการ (family as a unit of analysis and care) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นการปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวโดยใช้ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน และการปฏิบัติการพยาบาลครอบครัวโดยใช้ครอบครัวในสถานบริการสุขภาพเป็นฐานปฏิบัติการ
ดังนั้นพยาบาลครอบครัว “ จึงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการดูแล ช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาครอบครัวในทุกวงจรของครอบครัวตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งครอบครัว จนกระทั่งเข้าสู่วงจรวัยชราที่มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งปกติ ภาวะเสี่ยง และผิดปกติ ทั้งในสถานบริการ ชุมชน โดยประยุกต์ศาสตร์ทางการพยาบาลและครอบครัวและผลการวิจัยมาเป็นแนวทางในการดูแลแบบองค์รวม ในบทบาทการปฏิบัติการพยาบาล การให้ความรู้ การบริหารจัดการ การเป็นที่ปรึกษา เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวสามารถปรับตัวและคงความสมดุลของครอบครัวในการทำหน้าที่เพื่อดำรงสุขภาวะของครอบครัวรวมทั้งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ครอบครัวให้แข็งแกร่งขึ้น” (ดารุณี จงอุดมการณ์, 2553)
รุจา ภู่ไพบูลย์ (2541) ได้สรุปแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลครอบครัวไว้ดังนี้คือ การพยาบาลครอบครัวโดยส่วนใหญ่เป็นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ และจิตวิทยา แต่ก็พบว่ายังไม่มีทฤษฎีหรือกรอบมโนทัศน์ที่สมบูรณ์ที่สามารถนำมาใช้ศึกษาได้ และในการพัฒนาทฤษฎีทางการพยาบาลนั้น ได้นำทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ จิตวิทยา มานุษยวิทยา มาประยุกต์ใช้ในการดูแลครอบครัว ได้แก่ 1) กรอบมโนมติหลักที่ถูกระบุว่าเป็นกรอบทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษาครอบครัว เช่น ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์ (Interaction theory) ทฤษฎีสถานการณ์ (Situational theory) ทฤษฎีพัฒนาการ (Developmental theory) ทฤษฎีระบบ (System theory) ทฤษฎีความขัดแย้ง (Conflict theory) และ ทฤษฎีแลกเปลี่ยน (Exchange theory) 2) ประยุกต์ใช้ในการดูแลให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัว เช่น รูปแบบการเผชิญกับภาวะวิกฤต (McCubbin และ Patterson) ทฤษฎีการพยาบาลโอเรม (Orem) ทฤษฎีการพยาบาลของนิวแมน (Neuman) ทฤษฎีการพยาบาลของคิง (King) ที่ช่วยให้พยาบาลสามารถเข้าใจความต้องการของหน่วยครอบครัว และมองเห็นความสำคัญของการดูแลครอบครัวภายใต้บริบทหรือสถานการณ์ทางการพยาบาลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จากสถานการณ์ในปัจจุบันทำให้ทราบว่า ครอบครัว ยังให้การดูแล ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นสำคัญ และก็ยังพบปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของครอบครัว แนวทางแก้ปัญหาสำหรับบทบาทพยาบาลจะมีมุมมองทั้งครอบครัวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุยิ่งมีความสำคัญที่ต้องเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่สมาชิกในครอบครัวหรือผู้ดูแลต้องรู้เท่าทันกับอาการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของผู้สูงอายุ ดังนั้นพยาบาลครอบครัวที่ให้การดูแลผู้สูงอายุจะมีมุมมองตามแนวคิดการพยาบาลครอบครัวโดยมีมุมมองครอบครัวเป็น หน่วยวิเคราะห์และรับบริการ (family as a unit of analysis and care) ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่สนใจในปัญหาของผู้สูงอายุเท่านั้น พยาบาลจะต้องสนใจสมาชิกในครอบครัวที่มีผลต่อการดูแลผู้สูงอายุด้วย เมื่อมีมุมมองดังกล่าวจึงต้องสนใจในประเด็นทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย
III. แนวคิดการสนับสนุนทางสังคม แนวคิดเกี่ยวกับผู้ดูแล และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. แนวคิดการสนับสนุนทางสังคม (Social Support)
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของบริบทในสังคมไทยโดยเฉพาะโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนไปเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพังถึงแม้ว่าจะมีเพียงส่วนน้อยของประเทศแต่ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้น การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในครอบครัวก็มีบทบาทลดลง หรือแม้ว่าผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวเองก็มีความต้องการด้านสังคม โดยมีความต้องการมีส่วนร่วมกันกับเพื่อนบ้าน ชุมชนหรือบุคคลต่าง ๆในสังคม ดังนั้นแนวคิดการช่วยเหลือสนับสนุนทางสังคมหรือเพื่อน จึงมีส่วนสำคัญสำหรับผู้สูงอายุที่มีความต้องการช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือในด้านข้อมูลข่าวสารเป็นต้น มีหลายการศึกษาได้กล่าวถึงแนวคิดการสนับสนุนทาสังคมดังต่อไปนี้
Cobb (1976) จากการศึกษาเรื่องแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นเหมือนตัวกลางที่ช่วยในการประสานความเครียดในชีวิต และได้ให้ความหมายของแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นการนำของข้อมูลผ่านบุคคลหนึ่งที่มีความเชื่อว่าเขาคนนั้นสามารถให้การดูแล ให้ความรัก เห็นคุณค่า และมีกฎเกณฑ์ข้อตกลงร่วมกันกับเครือข่ายของสมาชิก และพบว่าการสนับสนุนจากสังคมสามารถปกป้องผู้ที่อยู่ในภาวะวิกฤตจากปัญหาหลายประการในชีวิต และแรงสนับสนุนทางสังคมนี้สามารถลดความต้องการทางการแพทย์ ช่วยในการฟื้นตัว และเพิ่มความสามารถในการทานยาภายใต้ข้อกำหนดต่าง ๆได้ แบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ 1) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาสามารถดูแลและให้ความรักได้ 2) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่าและ 3) แรงสนับสนุนที่ทำให้บุคคลมีความเชื่อว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือเครือข่ายในสมาชิกนั้น ๆ
Shanas (1979) ในเรื่องครอบครัวเป็นระบบสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุ นำเสนอ ข้อค้นพบเกี่ยวกับการดูแลโดยครอบครัวสำหรับผู้สูงอายุที่มีความเจ็บป่วย โดยพบว่าครอบครัวที่เป็นครอบครัวขยาย ที่มีสามี ภรรยา และบุตร สามารถให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วย และทั้งครอบครัวและญาติพี่น้องที่อยู่ในครัวเรือน จะสามารถมาให้การช่วยเหลือได้ตามโอกาสที่เหมาะสม หากไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้หรือมีข้อจำกัดในการช่วยเหลือ ก็จะมีเพื่อนบ้าน และเจ้าหน้าที่ทางราชการทางด้านสังคมสงเคราะห์ และในส่วนที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาช่วยเหลือแทน และการสำรวจผู้สูงอายุในระดับประเทศ (ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1975) ในเรื่องการมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรม สถานภาพสมรส และสัดส่วนของแหล่งช่วยเหลือ และการติดต่อกับครอบครัว ผลจากการสำรวจทำให้ทราบว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญในการให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุในลำดับแรก
Mirr (1992) ได้นำเสนอการสนับสนุนโดยครอบครัว (Family Support) โดยเป็นบทบาทอิสระของพยาบาลในการช่วยเหลือดูแลครอบครัว โดยที่ครอบครัวเป็นผู้ดูแลที่อยู่ในรูปกิจกรรมหรือวิธีการดูแลช่วยเหลือ (Intervention) ที่จัดกระทำกับความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว ความหมายของการสนับสนุนโดยครอบครัว หมายถึง การช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวโดยพยาบาล ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังไม่แพร่หลายและมีหลายความหมายที่จะให้เข้าใจตรงกัน มีเทคนิคที่ช่วยให้พยาบาลสามารถให้การดูแลผู้ป่วยและครอบครัวได้ดีขึ้นดังต่อไปนี้คือ การแนะนำตัวเองกับครอบครัวเมื่อพบกันครั้งแรก การฟังและสนับสนุนให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา การจัดหาข้อมูลให้กับผู้ป่วยและครอบครัวให้มีความเข้าใจ มีการเข้าเยี่ยมหรือการติดต่อ การจัดสิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบายเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล การส่งต่อหรือประสานงานกับทีมสุขภาพ หรือจัดหากลุ่มสนับสนุนทางสังคม
Pierce, Sarason & Sarason (1996) ได้ให้ความหมายและองค์ประกอบของการสนับสนุนทางสังคม หมายถึง โครงสร้างที่ซับซ้อนของ 3 องค์ประกอบได้แก่ 1) Support Schemata เป็นการสนับสนุนอย่างเป็นแบบแผนโดยคาดหวังทางสังคมจะช่วยเหลือจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมหรือที่จำเป็น ทั้งที่อยู่ในระยะสั้นแลระยะยาว ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งจากผู้รับและผู้ให้ 2) Supportive relationships โดยที่ความสัมพันธ์จะมีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ที่มีผลกระทบเท่านั้นเน้นความเกี่ยวข้องกันในบทบาทผู้สนับสนุนและผู้รับการสนับสนุน และ 3) Supportive transactions เป็นการแลกเปลี่ยนพฤติกรรม ระหว่างบุคคลอย่างน้อย 2 คน และต้องการการสนับสนุนอย่างเป็นจริง
Heaney & Israel (1997) ได้นำเสนอแนวคิด เครือข่ายทางสังคมและแหล่งสนับสนุนทางสังคม ในแนวคิดเครือข่ายทางสังคม (Social Network) หมายถึง ความสัมพันธ์ทางสังคมของเครือข่ายที่เน้นบุคคลเป็นศูนย์กลาง มีคุณลักษณะ 4 ประการคือ 1) Reciprocity เป็นขอบเขตของแหล่งหรือสิ่งสนับสนุนที่เป็นทั้งความสัมพันธ์การให้และการรับ 2) Intensity เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ในด้านการสนับสนุนทางด้านอารมณ์ 3) Complexity เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนหลายหน้าที่ในการสนับสนุน และ 4) Density เป็นขอบเขตของความสัมพันธ์ของสมาชิกที่มีปฏิสัมพันธ์ในส่วนอื่น ส่วนแรงสนับสนุนทางสังคม (Social Support) หมายถึง การช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ทางสังคมและการติดต่อระหว่างบุคคล แบ่งเป็น 4 รูปแบบได้แก่ 1) Emotional support เป็นการสนับสนุนด้านอารมณ์ เน้นการเห็นอกเห็นใจ ความรัก ความไว้วางใจ และการดูแล 2) Instrument support เป็นการสนับสนุนช่วยเหลือด้านสิ่งของและการบริการให้กับบุคคลที่ต้องการการสนับสนุนทางสังคม 3) Informational support เป็นการสนับสนุนให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำและให้ข้อมูลข่าวสาร และ4) Appraisal support เป็นสนับสนุนในการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินด้วยตนเองหรือการสะท้อนความคิดของตนเอง
Hooyman & Kiyak (2009) ได้นำเสนอแนวคิดความสำคัญของการสนับสนุนหรือแรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ ครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน และชุมชน สำหรับผู้สูงอายุที่มีความโดดเดี่ยวหรือแยกจากครอบครัว สังคม จะสามารถกลับมาเข้ากับเครือข่ายทางสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal network) ในด้านการสนับสนุนด้านข้อมูล การเงิน การให้คำแนะนำ ด้านอารมณ์หรือด้านการบริการ เมื่อมองในด้านของเครือข่ายทางสังคมที่เป็นแหล่งประโยชน์และโอกาสจากครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก โดยเครือข่ายอย่างไม่เป็นทางการนี้คือแรงสนับสนุนทางสังคม เป็นได้ทั้งสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร อารมณ์ความรู้สึกหรือสิ่งของต่าง ๆในการดำรงชีวิตประจำวัน และเป็นการยากที่จะวัดแรงสนับสนุนเป็นอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนทางสังคมมีดังนี้คือ ความผาสุกในด้านร่างกาย จิตใจ (เพิ่มความชอบธรรมความดีงาม เพิ่มความเชื่อมั่น ลดภาวะซึมเศร้า) สามารถควบคุมความรู้สึกในตัวบุคคล มีอิสระและความสามารถในตัวของตัวเอง ปรับปรุงความสามารถในด้านเชาวน์ปัญญา เป็นผู้สูงอายุที่สามารถดูแลตนเองได้ (Active aging) และสามารถปรับสภาพกับการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ลดผลกระทบที่เกิดจากภาวะเครียดเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆในชีวิต และลดอุบัติการณ์การเกิดความพิการและอัตราตาย
พรทิพย์ มาลาธรรม จิราพร คงเอี่ยม และ ประคอง อินทรสมบัติ (2552) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงสนับสนุนจากครอบครัวและแรงสนับสนุนจากเพื่อนกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท โดยใช้กรอบแนวคิดแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นแนวทาในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวจำนวน 60 คู่ ที่อาศัยอยู่ในเขตชนบท จังหวัดฉะเชิงเทรา เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเลขสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบไปด้วยแบบคัดกรองการรู้จำ และแบบสอบถาม ผลการศึกษา การให้แรงสนับสนุนแก่ผู้สูงอายุของครอบครัวและการรับรู้แรงสนับสนุนจากครอบครัวของผู้สูงอายุยู่ในระดับสูง ส่วนการรับรู้แรงสนับสนุนจากเพื่อนของผู้สูงอายุและความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุอยู่ในระดับปานกลาง และยังพบว่าการรับรู้แรงสนับสนุนจากครอบครัวและจากเพื่อนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุควรได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และเครือข่ายทางสังคมเพื่อความพึงพอใจในชีวิตที่มากขึ้น
Hill, Schillo & Weinert (2004) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานต่อแรงสนับสนุนทางสังคมสำหรับสตรีที่เจ็บป่วยเรื้อรังในชนบท ซึ่งแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการกับความเจ็บป่วย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนด้านสังคม และการให้ข้อมูลด้านสุขภาพผ่านการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐาน แบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ การให้ข้อมูล และกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบ ในสตรีที่ได้รับการคัดเลือกเข้ากลุ่ม โดยมีรูปแบบเสริมแรงสนับสนุนทางสังคม ที่ไม่ได้นำมาวิเคราะห์ในประเด็นหลัก ผลการวิเคราะห์ยังมีข้อจำกัดของกลุ่มตัวอย่างที่มีแรงสนับสนุนทาสังคมต่ำ และมีความกดดันในเชิงจิตสังคมสูง ผลการศึกษาแนะนำว่าควรจะเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างนี้ ผลการศึกษาพบว่ามีประสิทธิผลในการเสริมแรงสนับสนุนทางสังคมและเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือในกลุ่มที่สนับสนุน การศึกษาแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มการรับรู้จากการเสริมแรงสนับสนุนทางสังคม
2. แนวคิดเกี่ยวกับผู้ดูแล (Caregiver)
ยุพาพิน ศิรโพธิ์งาม (2539) ได้นำเสนอญาติผู้ดูแลที่บ้านที่มีความสำคัญและเป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ทีมสุขภาพให้ความสนใจ ซึ่งญาติผู้ดูแลที่บ้านนั้นต้องตอบสนองความต้องการการดูแลที่เกิดขึ้นจากภาวะบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ของผู้ป่วย ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีทั้งด้านลบและด้านบวก ได้แก่ความเครียด และการเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วนั้นมีผลต่อเนื่องกับภาวะสุขภาพของผู้ดูแล โดยให้ความหมายของญาติผู้ดูแลที่บ้าน (Family Caregiver หรือ Informal Caregiver)
ศิริพันธุ์ สาสัตย์ และ เตือนใจ ภักดีพรหม (2551) ได้แบ่งผู้ดูแลออกเป็นผู้ดูแลที่เป็นทางการ (formal caregiver) และ ผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการ (informal caregiver) ในด้านผู้ดูแลที่เป็นทางการเป็นกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นวิชาชีพ จากสถานบริการพยาบาล หรือ กลุ่ม องค์กร ที่เคยผ่านการฝึกอบรมมาก่อนและได้รับเงินเป็นการตอบแทน ซึ่งอาจเป็น แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผู้ช่วยดูแลจากศูนย์ที่ให้บริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ส่วนในด้านผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการ เป็นกลุ่มผู้ที่ให้การช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวันต่างๆ แก่ผู้ป่วยโดยที่ไม่เคยผ่านการฝึกอบรมมาก่อน การดูแลอาจยาวนานถึง 24 ชั่วโมงต่อ ไม่ได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน แต่เป็นการดูแลที่มาจากความรัก ความสำนึกในบุญคุณหรือหน้าที่ แรงจูงใจที่ให้การดูแลอาจจะมาจากความสัมพันธ์ทางการสมรส หรือจากครอบครัว เช่น คู่สมรส ลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือเพื่อนบ้านของผู้ป่วย จากการศึกษาพบว่าผู้ดูแลส่วนใหญ่จะเป็นสามีหรือภรรยาของผู้ป่วยและมักสูงอายุด้วยกันทั้งคู่
ศิริพันธุ์ สาสัตย์ (2549) ได้อธิบายความแตกต่างของกลุ่มผู้ดูแลแบบไม่เป็นทางการตามลักษณะความสัมพันธ์กับผู้ป่วยและปริมาณการช่วยเหลือที่ให้ ดังนี้คือ
1. แบ่งตามลักษณะความสัมพันธ์กับผู้ป่วย
1) ผู้ดูแลที่เป็นญาติ หรือญาติผู้ดูแล คือ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยอยู่ที่บ้านที่เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นผู้ดูแลที่ไม่เป็นทางการที่พบได้บ่อยมากที่สุดในสังคมไทย ทั้งนี้ในกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นญาตินี้อาจประกอบไปด้วยผู้ดูแลหลักและผู้ดูแลรอง เช่น สมาชิกในครอบครัวบางคนรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในด้านกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมในการดูแลโดยตรงที่บ้าน บางคนรับผิดชอบดูแลทางด้านการเงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดูแล บางคนรับผิดชอบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์เนื่องจากมีความคล่องตัวในการติดต่อประสานงานสูง เป็นต้น
2) ผู้ให้การช่วยเหลือไม่เป็นทางการ คือ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยที่มาจากเครือญาติอื่น ๆ เพื่อน หรือเพื่อนบ้าน ที่ให้การช่วยเหลืองานบ้านหรือกิจวัตรประจำวันโดยไม่คิดค่าตอบแทน ทั้งนี้อาจเป็นการให้การช่วยเหลือด้วยความรัก ความผูกพัน หรือเป็นการตอบแทนคุณความดีที่ผู้ป่วยเคยมีให้แก่ผู้ดูแลประเภทนี้มาก่อนในอดีต
2. แบ่งตามปริมาณการช่วยเหลือ
1) ผู้ดูแลหลัก (Primary caregiver) คือบุคคลที่ผู้ได้รับการดูแลระบุว่าเป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือดูแลในระยะเวลาเจ็บป่วย หรืออาจเป็นผู้ที่ให้เวลาในการดูแลคิดเป็นจำนวนชั่วโมงต่อวันสูงสุด ทำหน้าที่ดูแลปฏิบัติกิจกรรมต่อผู้ป่วยโดยตรง เช่น การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล ป้อนอาหารหรือให้อาหาร ดูแลเรื่องการรับประทานยา ทำความสะอาดแผล และช่วยเหลือในการขับถ่าย เป็นต้น ผู้ดูแลหลักนี้จะเป็นผู้ที่เผชิญกับภาวะเครียดสูงสุด นอกจากนี้ผู้ที่ให้การดูแลผู้ป่วยด้วยโรคหรือมีปัญหาสุขภาพต่างกันจะมีระดับความเครียดจากการดูแลแตกต่างกัน
2) ผู้ดูแลรอง (Secondary caregiver) หมายถึงบุคคลอื่นที่อยู่ในเครือข่ายของการดูแล มีหน้าที่จัดการด้านอื่น ซึ่งไม่ใช่การกระทำต่อตัวผู้ป่วย กิจกรรมการช่วยเหลือที่ให้อาจเป็นครั้งคราว หรือมีระยะเวลาในการดูแลช่วยเหลือน้อยกว่าผู้ดูแลหลัก
ขนิษฐา นันทบุตร (2551) ได้สังเคราะห์กรณีศึกษาจากผู้ดูแล 5 ภาคทั่วประเทศในสถานการณ์การทำงานของผู้ดูแลเพื่อการพัฒนาระบบการทำงานของผู้ดูแลในประเด็นสำคัญต่อไปนี้คือ
1) ลักษณะของผู้ต้องการความช่วยเหลือ แบ่งตามความสามารถในการช่วยเหลือ คือ ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้บ้าง และ ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อยหรือไม่ได้ โดยนอนติดกับเตียงเป็นส่วนใหญ่ แบ่งตามความเจ็บป่วยคือ ผู้ป่วยตามระดับความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตนเองได้ที่มีอาการในระยะฉุกเฉินหรือวิกฤติ และ ผู้ป่วยในระยะเรื้อรังควบคุมได้ และตามบริบทสถานที่ในการให้การดูแล เช่น ผู้ที่อยู่ที่บ้าน อยู่ที่สถานสงเคราะห์ ได้แก่ บ้านพักคนชรา สถานสงเคราะห์คนชรา
2) ลักษณะกิจกรรมการช่วยเหลือ ได้แก่ กิจกรรมการช่วยเหลือเบื้องต้นซึ่งอาจมีความซับซ้อนของการทำน้อยที่สุด เช่นการทำความสะอาดร่างกาย ดูแลช่วยจัดหาอาหารและน้ำ การจัดยา ดูแลการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระช่วยพลิกตะแคงตัวเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ การพูดคุยให้กำลังใจการพยุงและช่วยจับเวลานั่ง ยืน เดิน เป็นต้นกิจกรรมการช่วยเหลือดูแลขั้นสูง ที่ต้องได้รับยาตามเวลา เฝ้าระวังอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การดูแลเพื่อให้เกิดความสุขสบาย การเคลื่อนย้ายที่ถูกต้อง แลการให้คำปรึกษาครอบครัว และการช่วยเหลือดูแลพิเศษหรือเฉพาะ เช่น การตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด การฉีดยาอินซูลิน การเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับโรค การเปลี่ยนน้ำยาล้างไตทางหน้าท้องและพาไปตรวจ/ฟอกไตตามนัดที่โรงพยาบาล การหยอดตา การฝึกพูด การฝึกกลืน การฝึกเดิน การฝึกหายใจ เป็นต้น
3) คุณสมบัติของผู้ดูแล แบ่งประเภทผู้ดูแล ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ผู้ดูแลในครอบครัวและเครือญาติ ผู้ช่วยเหลือดูแลในชุมชนหรืออาสาสมัครชุมชน และผู้ช่วยเหลือหรือผู้ดูแลอาชีพ ทั้ง 3 ประเภทเกิดขึ้นในบริบททางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 5 องค์ประกอบคือ การฝึกอบรมการดูแล ประสบการณ์การทำงาน ทักษะการดูแล ความผูกพันกับระบบการดูแล ระบบการทำงาน
4) ระบบการเตรียมผู้ดูแลทั้งการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมจากประสบการณ์ แบ่งเป็นการอบรมและเรียนรู้เพื่อเตรียมเป็นผู้ช่วยเหลือดูแล และการบ่มเพาะประสบการณ์และพัฒนาทักษะเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะและความสามารถในการดูแล หรือ ที่เรียกว่า เพิ่มขั้นความสามารถจากทักษะขั้นพื้นฐาน ขั้นสูงและขั้นพิเศษ
5) ระบบการพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลและการรับรองคุณภาพการบริการของผู้ดูแล ได้ตั้งแต่ ที่บ้านของผู้ต้องการความช่วยเหลือ/ดูแล ที่ศูนย์ หรือ หน่วยบริการช่วยเหลือ/ดูแล และ ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้การฝึกฝนทักษะจากประสบการณ์การทำงานจริงถือเป็นปัจจัยสำคัญ โดยการฝึกทักษะด้วยตนเองอาจมีข้อจำกัดมากกว่าการฝึกทักษะและวิธีการทำงานร่วมกับผู้มีประสบการณ์สูงกว่า การมีกลุ่มผู้ช่วยเหลือ/ดูแลเพื่อช่วยเหลือกัน ร่วมทีมกันรับงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ก็มีส่วนเพิ่มพูนทักษะได้ ในด้านการรับรองคุณภาพเท่าที่ผ่านมายังไม่มีข้อมูลแสดงชัดเจน
6) ปัจจัย/เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของผู้ดูแลและการจัดการการดูแล รวมถึงการทำงานของผู้ดูแล ตามบริบทการดูแลที่ต่างกัน การเตรียมตัวเป็นผู้ช่วยเหลือ/ดูแล การรับงานดูแลผู้ป่วย/ผู้สูงอายุหลายลักษณะและปัญหาที่ต้องช่วยเหลือแก้ไข การบ่มเพาะประสบการณ์จากการช่วยเหลือ/ดูแลที่อาศัยทักษะหลายระดับ การได้รับการสอน ฝึกฝน และ ชี้แนะการแก้ปัญหารายวันของผู้ช่วยเหลือ/ดูแลจากผู้รู้ในระหว่างการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องบริบทการทำงานมีความปลอดภัย
3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ
จากการทบทวนวรรณกรรมมีความครอบคลุมในประเด็นของครอบครัวที่ให้การดูแลผู้สูงอายุซึ่งมีความหลากหลายมิติต่าง ๆดังต่อไปนี้
อาพร สุขสวัสดิ์ (2534) ได้ศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างสมาชิกครอบครัว (บุตร) กับผู้สูงอายุ และบทบาทของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอพระนครศรีอยุธยา ที่มีบทบาทด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุตร บุตรบุญธรรม บุตรเขย หรือบุตรสะใภ้ เลือกมาครอบครัวละ1 คน อยู่ในเขตเทศบาล 198 คน ในเขตเทศบาล 198 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ผลการศึกษา 1) ลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นไปในทางที่ดีต่อกัน มีการช่วยเหลือเอาใจใส่เกื้อกูลกัน ส่วนใหญ่สามัคคี รักใคร่ปรองดองกัน มีความขัดแย้งกับบ้างนาน ๆ ครั้ง ส่วนใหญ่บุตรยังคงให้ความสำคัญ ยอมรับและขอคำปรึกษาจากผู้สูงอายุ 2) ในด้านบทบาทของครอบครัว สมาชิกในครอบครัวจะมีบทบาทการดูแลผู้สูงอายุด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจและสังคมได้มาก ในเขตเทศบาลจะให้การดูแลในด้านนี้น้อยกว่านอกเขตเทศบาล และด้านเศรษฐกิจทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลจะให้การดูแลน้อย
สุจิตรา นิลเลิศ (2539) ได้ศึกษาคุณภาพชีวิตของการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตรในชนบท จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจัยส่วนบุคคล ของผู้สูงอายุและบุตร ระดับคุณภาพของการได้รับการอุปถัมภ์ ระดับคุณภาพชีวิต จำนวน 404 คน ใน 16 หมู่บ้าน 16 ตำบลของทุกอำเภอ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสัมภาษณ์และแบบวัด และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่อยู่ในเกณฑ์ระดับสูงและระดับต่ำประเภทละ 5 คนตามแนวคำถามแบบมีโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า สุขภาพอนามัยมีความสัมพันธ์กันกับการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตร ฐานะทางเศรษฐกิจของบุตรมีความสัมพันธ์กันกับการที่ผู้สูงอายุได้รับการอุปถัมภ์จากบุตร ระดับของคุณภาชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระดับปานกลาง และการได้รับการอุปถัมภ์จากบุตรมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และตัวแปรที่สามารถอธิบายความแปรปรวนของคะแนนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 45.1)ได้แก่ การให้ความเคารพยกย่อง การสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน รายได้ การยอมรับความคิดเห็นของผู้สูงอายุ การยอมรับและให้อภัยเมื่อผู้สูงอายุทำผิดพลาด การให้เวลาและเอาใจใส่พูดคุยด้วย
ชลลดา ภักดีประพฤกษ์ (2541) ได้ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางครอบครัวกับการได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุในเขตเมืองกรุงเทพมหานคร และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าวข้างต้น ทำการศึกษาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยสำรวจผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จำนวน 168 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม 3 ขั้นตอน และการศึกษาเชิงคุณภาพกับผู้สูงอายุจำนวน 9 คน ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุในระดับปานกลาง ส่วนด้านร่างกาย และความสำเร็จสมหวังในชีวิตอยู่ในระดับมาก ด้านความรักอยู่ในระดับมากและน้อยใกล้เคียงกัน ความมั่นคงปลอดภัยอยู่ในระดับปานกลาง ความยอมรับนับถืออยู่ในระดับน้อย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับการตอบสนองจากครอบครัวตามความต้องการพื้นฐานคือ รายได้ บุตรความพอเพียง ภาวะสุขภาพ ความพอเพียงของรายได้ครอบครัว และสัมพันธภาพของครอบครัว ในด้านข้อมูลเชิงคุณภาพ มีปัจจัยคือ การทำกิจกรรมของผู้สูงอายุ อุปนิสัยของผู้สูงอายุ และรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรของผู้สูงอายุ
มาลินี วงษ์สิทธิ์ และ ศิริวรรณ ศิริบุญ (2541) ได้ศึกษาครอบครัวและผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างประเทศต่าง ๆ 7ประเทศในโครงการวิจัยเรื่อง The Implications of Asia’s Population Future for the Family and the Elderly โดยการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุจำนวน 408 รายและผู้ดูแลจำนวน 82 ราย ผลการศึกษามีประเด็นสำคัญคือ องค์ประกอบของครัวเรือนอยู่ในครัวเรือนขยาย สถานภาพสมรสในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสัดส่วนคู่สมรสเป็นหม้ายสูงสุด ส่วนในกรุงเทพมหานครมีคู่สมรส จบการศึกษาระดับประถมศึกษา บทบาทและสถานภาพในครัวเรือนผู้ชายจะเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายและดูแลทรัพย์สินและมีสัดส่วนในการตัดสินใจมากกว่า ส่วนผู้หญิงทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน อาชีพโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน หรือมีความต้องการการทำงานแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง และผู้สูงอายุที่มีอายุมากจะมีรายได้น้อยกว่าผู้สูงอายุที่อายุน้อย และมีปัญหาการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันมากกว่าผู้สูงอายุที่อายุน้อยกว่า ภาวะสุขภาพคู่สมรมชายมีสุขภาพค่อนข้างแย่กว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุพอใจการความเป็นส่วนตัวในที่พักอาศัยมากที่สุด และรูปแบบการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดคือการอยู่กับบุตร สำหรับในชนบทมีการติดต่อกับญาติทุกประเภทบ่อยครั้งกว่าผู้สูงอายุในเมือง โดยการเยี่ยมเยียน ขณะที่ในเมืองใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ ในด้านทัศนคติของผู้สูงอายุสะท้อนว่าสถานะของผู้สูงอายุด้อยลง ในด้านผู้ดูแลผู้สูงอายุในชนบทมักจะเป็นหลาน และมีระยะเวลาในการดูแลนานกว่าในเมือง และบทบาทของผู้ดูแลคือช่วยในการเตรียมอาหาร ทำความสะอาดบ้าน พาไปพบแพทย์ ปัญหาความต้องการของผู้ดูแลคือด้านการเงิน และหากผู้ดูแลดูแลร่วมกันกับบุคคลอื่นจะประสบปัญหาด้านอารมณ์จิตใจในระดับสูงกว่าผู้ดูแลตามลำพัง
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร เล็ก สมบัติ และ ระพีพรรณ คำหอม (2541) ได้ศึกษาภาวะการดูแลและสภาพปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว ศักยภาพของครอบครัวต่อการเกื้อหนุนผู้สูงอายุ และปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้ศักยภาพของครอบครัวเข้มแข็ง ใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถาม จำนวน 700 รายในเขตกรุงเพทมหานครและปริมณฑล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่ทำงานในหน่วยงายภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและกลุ่มอาชีพต่างๆ ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ประชากรส่วนใหญ่มีสถานภาพเป็นบุตรของผู้สูงอายุ เป็นเพศหญิง สถานภาพสมรสแล้ว อายุระหว่าง 31-40 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้อยู่ระหว่าง 10,001-20,000 บาท ส่วนใหญ่มีผู้สูงอายุอยู่ในความดูแล 1 คน และเป็นผู้สูงอายุอยู่ระหว่าง 61-70 ปี บทบาทของครอบครัวคือตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย ปัจจัยสี่ และตอบสนองหน้าที่ด้านเศรษฐกิจ สังคม อารมณ์ จิตใจของผู้สูงอายุ ปัญหาที่ได้รับการดูแลอยู่ในระดับน้อยมาก ปัจจัยสำคัญที่เป็นพื้นฐานที่ทำให้ครอบครัวมีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ 2 ประการคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม และครอบครัวยังมีความต้องการบริการทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ และด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พัชรินทร์ คำอินทร์ (2548) ได้ศึกษาความหมายการได้รับการดูแลโดยผู้ดูแลในครอบครัว จากมุมมองของผู้สูงอายุ และศึกษาประสบการณ์การได้รับการดูแลโดยครอบครัวของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาที่บ้าน ใช้รูปแบบการศึกษาตามแนวคิดปรากฏการณ์วิทยาแบบวิธี Husserl จำนวน 12 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการบันทึกเทป วิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีการของโคไลซี่ ผลการศึกษา สรุปได้ว่า ความหมายการได้รับการดูแลโดยผู้ดูแลในครอบครัว จากมุมมองของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาที่บ้าน 4 ประเด็นคือ การปฏิบัติดูแลด้วยความเข้าใจผู้สูงอายุ การปฏิบัติดูแลด้วยความเต็มใจ การปฏิบัติดูแลด้วยการพูดที่ดี และการปฏิบัติดูแลด้วยความเคารพรักและผูกพัน ในด้านผู้ดูแลในครอบครัว สรุปได้ 4 ประเด็นคือ อารมณ์ในสภาพการพึ่งพา การรับรู้ว่าต้องพึ่งพาการดูแล กาปรับตัว และ การับรู้คุณค่าการดูแล
เล็ก สมบัติ (2549) ทำการศึกษาวิจัยเรื่องโครงการภาวะการดูแลผู้สูงอายุและครอบครัวในปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง บทบาทและความสามารถ ตลอดจน ปัญหาและความต้องการของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบสอบถามสมาชิกในครอบครัวจาก 16 จังหวัด จำนวน 1,600 คน และ Focus Group สมาชิกในครอบครัว 3 รอบ 32 หมู่บ้าน 320 คน ผู้สูงอายุในครอบครัวชุมชน 7 ราย รวม 224 คน และ ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยเรื้อรังและนอนติดเตียงจำนวน 40 คน การศึกษาในครั้งนี้แบบ Mixed Method ทั้ง Descriptive study และ Qualitative study ผลการศึกษามีดังนี้คือ 1) ปัจจัยภายใน คือสัมพันธภาพครอบครัวในระดับที่ดี การเชื่อฟังมีเหตุผลและการเอาใจใส่ความรัก ส่วนปัจจัยภายนอกมีภาพรวมอยู่ในระดับที่ไม่ดี มีระดับการได้รับและไม่ได้รับการบริการที่ใกล้เคียงกัน บริการที่ครอบคลุมมากที่สุดคือ บริการด้านสุขภาพ ส่วนบริการที่ได้รับน้อยที่สุดคือบริการด้านสังคม ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพ การเยี่ยมเยียนโดยอาสาสมัคร และการสังเคราะห์ต่างๆ 2) ปัจจัยพื้นฐานของสมาชิกในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับปัจจัยภายในและภายนอก และ 3) การสนทนากลุ่มสรุปได้ว่าครอบครัวส่วนมากมีความสามารถในการดูแลผู้สูงอายุลักษณะการดูแลจะมีการกำหนดผู้ดูแลหลัก ทำหน้าที่ด้านอาหาร การกินยา ความสะอาดและสุขภาพโดยรวม สมาชิกคนอื่นๆ ให้การสนับสนุนด้านเงินทอง เสื้อผ้า ของใช้ที่จำเป็นปัญหาที่พบในการดูแลคือ สุขภาพกายและจิต การเงิน
นารีรัตน์ เชื้อสูงเนิน (2550) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะสุขภาพ การปฏิบัติกิจกรรม การสนับสนุนจากครอบครัวกับความผาสุกทางใจของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานคร จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามการรับรู้ภาวะสุขภาพ แบบสอบถามการปฏิบัติกิจกรรม แบบสอบถามการสนับสนุนจากผู้สูงอายุครอบครัว และแบบสอบถามความผาสุกทางใจ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผลการศึกษาพบว่า ความผาสุกทางใจของผู้สูงอายุที่เข้าชมรมผู้สูงอายุกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับสูง การรับรู้ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่เข้าร่วมชมรมอยู่ในระดับดีและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ การปฏิบัติกิจกรรมอยู่ในระดับมากและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ และการสนับสนุนจากครอบครัวของผู้สูงอายุที่เข้าร่วมชมรมอยู่ในระดับสูงและมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผาสุกทางใจ และนำความรู้ที่ได้ไปเป็นแนวทางในการดูแลเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยเฉพาะด้านจิตสังคมแก่ผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชน
พูนสุข เวชวิฐาน (2551) ได้ศึกษาการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย มุมมองจากผู้สูงอายุและลูกวัยผู้ใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย ประยุกต์แนวคิดการต่างตอบแทนจากทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 50 ครอบครัว ทั้งผู้สูงอายุและบุตรวัยผู้ใหญ่ กลุ่มละ 50 คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการจดบันทึกและถอดเทป และนำมาวิเคราะห์หาประเด็นที่สะท้อนถึงการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวชนบทไทย ผลการศึกษามีประเด็นสำคัญได้แก่ 1) ผู้สูงอายุสะท้อนบทบาทของตนเองในการช่วยเหลืองานบ้าน 2) ผู้สูงอายุสะท้อนคุณค่าของตนที่มีต่อสมาชิกครอบครัวและความคาดหวังในอนาคต 3) การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุเป็นการตอบแทนบุญคุณ และ 4) การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุเป็นผลจากการเป็นต้นแบบที่ดีและจากคำสอนทางศาสนา
นารีรัตน์ จิตรมนตรี วิไลวรรณ ทองเจริญ และ สาวิตรี ทยานศิลป์ (2552) ทำการศึกษาวิจัยเรื่องตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนเขตเมืองและกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนรูปแบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุของครอบครัวที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการดูแลที่ดี ศึกษารูปแบบและถอดบทเรียนการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุของชุมชนที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการจัดการที่ดี และศึกษารูปแบบและถอดบทเรียนกลวิธีการจัดการในครอบครัวและชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแนวคำถามสร้างขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ และปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตรวจสอบความตรงของเนื้อหา นำไปทดลองใช้และปรับแก้ไขตามความเหมาะสม ดังนี้ แนวคำถามในการสัมภาษณ์ระดับลึก สำหรับผู้ให้ข้อมูลกับชุมชนก่อนการเลือกชุมชนและครอบครัว 6 ข้อ และการอภิปรายกลุ่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนจำนวน 11 ข้อ ผู้ดูแล 18 ข้อ ผู้สูงอายุ 4 ข้อ ดำเนินการ ค้นหาตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนเขตเมือง (นครราชสีมา และ กทม.) สัมภาษณ์ระดับลึกผู้สูงอายุและผู้ดูแลหลัก รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและในชุมชน สนทนากลุ่ม กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุรวบรวมเอกสารและข้อมูลที่สังเกตพบเกี่ยวกับบริบทของการดูแลผู้สูงอายุที่ดี ทำการศึกษาผู้สูงอายุที่เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิงระดับ 3 และ 4 ในชุมชนล็อค 4-5-6 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และชุมชน 30 กันยาพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เลือกชุมชนละ 2 ครอบครัว ผลการวิเคราะห์มีดังนี้คือ 1) ได้ตัวชี้วัดการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของชุมชนได้แก่ การมีชุมชนเข้มแข็ง การมีระบบสนับสนุนที่ดีทั้งที่เป็นทาการและไม่เป็นทางการ การมีทุนทางสังคม การตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ การบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การบูรณาการบทบาทชุมชน และการมีฐานข้อมูลผู้สูงอายุในชุมชน 2) ได้ตัวชี้วัดการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวได้แก่ การคัดเลือกผู้ดูแลหลักในครอบครัวที่มีความพร้อม การดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ การรักษาความสะอาดของร่างกาย การดูแลการขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจาก แผลกดทับ ปอดอักเสบ การสำลักอาหาร การป้องกันความรู้สึกเสียใจ และสร้างความสุข การสร้างความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ การส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ การดูแลสุขภาวะทางจิตวิญญาณ 3) การดูแลบนพื้นฐานของความรัก ความห่วงใย ความกตัญญู และความรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถดูแลผู้สูงอายุของผู้ดูแลหลัก 4) การรักษาและควบคุมโรคเรื้อรัง การดูแลให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่อง การดูแลจัดอาหารเฉพาะโรค 5) การจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย และอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการดูแล 6) การที่ผู้ดูแลหลักมอบความไว้วางใจให้ผู้ดูแลรับจ้าง และ7) การได้รับการสนับสนุนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ จากรัฐ เอกชน อาสาสมัคร
ศศิพัฒน์ ยอดเพชร และคณะ(2552) ทำการศึกษาตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุที่ดีของครอบครัวและชุมชนชนบทไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและถอดตัวแบบเกี่ยวกับการจัดบริการและกลวิธีการจัดการสำหรับผู้สูงอายุของครอบครัว ชุมชน ที่ได้รับการพิจารณาว่ามีการดูแลที่ดี ทำการศึกษาร่วมกันกับพยาบาลชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) ที่ทำหน้าที่ประสานงานและสนทนากลุ่มการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนตามแนวคำถามการถอดตัวแบบการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการศึกษาเฉพาะกรณีศึกษา และเชิงพรรณนา ด้วยเทคนิคการบรรยาย กลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุอยู่ในภาวะพึ่งพาระดับ 3 และ 4 จำนวน 8 ราย ในจังหวัดเชียงราย ขอนแก่น สมุทรสาคร และนครศรีธรรมราช ผู้สูงอายุที่ศึกษาเพศหญิง 6 ราย เพศชาย 2 ราย ทุกรายมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังและพึ่งตนเองได้ในระดับน้อยไปจนถึงพึ่งพาตนเองไม่ได้เลย มีบุตรเป็นผู้ดูแลหลัก ผลการศึกษาคือวิธีการและเทคนิคการดูแลที่ดีประกอบไปด้วยตัวชี้วัด 9 ประการ ได้แก่ การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล การจัดการเรื่องยา การช่วยเหลือในการเคลื่อนไหว การดูแลแผลกดทับ การจัดหาอาหารที่เหมาะสม การป้อนอาหาร การดูแลการขับถ่าย การสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ และการดูแลด้านจิตวิญญาณ และชุมชนที่มีการจัดบริการสำหรับผู้สูงอายุที่ดี ประกอบด้วยตัวชี้วัด 7 ประการ ได้แก่ การมีระบบดูแลอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ การมีทีมงานที่เข้มแข็ง การใช้ทุนทางสังคมให้เป็นประโยชน์ การแก้ไขปัญหาโดยสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชน การมีฐานข้อมูลผู้สูงอายุที่สมบูรณ์ และการมีระบบการประเมินบริการ
สิรินทร ฉันศิริกาณจน (2552) ผู้แต่งหนังสือคู่มือดูแลพ่อแม่ เนื้อหาได้เสนอแนะและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุที่สามารถให้บุตรหลานช่วยกันดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีคุณภาพที่ดี และเหมาะสมตั้งแต่การประเมินสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง การป้องกันการเกิดปัญหาเช่น อาการเจ็บป่วยทั่วไป การรับประทานอาหาร การรับประทานยา การตรวจสุขภาพและการจัดบ้านและการดูแลจนถึงวาระสุดท้ายของผู้สูงอายุ โดยเน้นที่ปัญหาสุขภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกหลาน และให้แง่คิดในการเห็นคุณค่าของพ่อแม่และการตอบแทนพระคุณด้วยการดูแลที่เป็นการแสดงความมีกตัญญูต่อพ่อแม่ ที่ทำให้ลูกหลานได้เข้าใจ ตระหนักถึงการปฏิบัติใดูแลพ่อแม่ได้อย่างเหมาะสม
สำหรับในสถานการณ์ปัจจุบันยังมีหลายครอบครัวเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้เองจึงต้องการการดูแลจากผู้ดูแลที่ไม่ใช่บุคคลในครอบครัวซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ได้รับการว่าจ้าง ชมนาด พจนามาตร์ และคณะ (2551) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ระบบการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้พิการโดยผู้ดูแล กรณีศึกษาภาคเหนือ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การทำงานของผู้ดูแล ลักษณะของผู้ต้องการการดูแลในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรังและผู้พิการ และลักษณะความต้องการการดูแล โดยให้ความหมายของผู้ดูแลหมายถึงผู้ที่ได้รับการว่าจ้าง ให้เป็นผู้ช่วยเหลือหลักแก่ผู้ป่วยหรือผู้ต้องการการปฏิบัติกิจกรรมเช่น การอาบน้ำ การทำความสะอาด การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล การดูแลเรื่องอาหาร การขับถ่าย เป็นต้นโดยให้เวลาในการดูแลอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาได้แก่ 1) ความต้องการการดูแลขึ้นอยู่กับ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ระดับความรุนแรง ระดับความสามารถในการช่วยเหลือตนเองของผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรังและลักษณะครอบครัวเช่นครอบครัวขยาย ญาติพี่น้องจะเป็นผู้ให้การช่วยเหลือดูแลมากกว่า 2) สถานการณ์การทำงานของผู้ดูแล ส่วนใหญ่จะเน้นการดูแลกิจวัตรประจำวัน ซึ่งผู้ดูแลที่ได้รับการอบรมจากหลักสูตรการอบรม 6 เดือนจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่สำเร็จการศึกษาระดับผู้ช่วยพยาบาล ผ่านการอบรมระยะสั้น หรือผู้ดูแลที่เป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ และไม่ได้รับการอบรมใด ๆ แต่เรียนรู้จากประสบการณ์ในการดูแล การสอนของญาติหรือการสอนจากบุคลากรพยาบาลเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล 3) ระบบการติดตามการทำงานของผู้ดูแล ขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่จะต้องควบคุมด้วยตนเอง มีบางพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพจะติดตามเยี่ยมผู้ป่วย 4) คุณสมบัติของผู้ดูแล คือมีความอดทน มีกิริยาสุภาพและต้องการผู้ที่มีความรู้ในการดูแล โดยมีข้อเสนอแนะว่าหน่วยงานของรัฐควรจะช่วยเหลือในการจัดอบรมให้ความรู้ และ 5) เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของผู้ดูแล คือระยะเวลาการดูแลในแต่ละวันที่ต้องมีเวลาส่วนตัวและมีเวลาพักผ่อน ความเข้าใจของสมาชิกในครอบครัวต่อการดูแล การสนับสนุนความก้าวหน้าของผู้ดูแล ความเป็นอิสระส่วนตัว การมีสมาชิกในครอบครัวร่วมดูแลด้วยและ การมีส่วนร่วมในการให้ดูแลของหน่วยงานด้านสุขภาพ
จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุ ครอบครัว ชุมชน และสังคมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันจากแนวคิดเครือข่ายทางสังคมและแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีผลโดยตรงและมีความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุโดยครอบครัว เมื่อศึกษาถึงครอบครัวที่เป็นผู้ดูแล พบว่าในการติดตามการดูแล ยังมีความไม่ชัดเจนนักในการส่งเสริมการดูแลให้มีศักยภาพ ดังจะเห็นได้จากเอกสารที่ได้ทบทวนเกี่ยวกับผู้ดูมีแต่การฝึกอบรมเป็นเวลา 6 เดือนจากนั้นใครจะเป็นผู้ประเมินติดตามในคุณภาพการดูแล และจะทราบได้อย่างไรว่าผู้ดูแลที่เป็นสมาชิกในครอบครัวนั้นมีความมั่นใจในความสามารถในการดูแลของตนเองเป็นอย่างไร ดังนั้นแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจและการเสริมสร้างศักยภาพของครอบครัวที่จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นและความสามารถของผู้ดูแลได้